แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทไม่มีโฉนดและมอบให้ผู้อื่นเช่าทำนาอยู่ การที่จำเลยปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์และใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมยื่นเรื่องราวขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโอนที่พิพาทให้จำเลย จนเจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจดทะเบียนโอนที่พิพาทเป็นของจำเลยนั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาท โจทก์มีสิทธิฟ้องคดีแม้จะเกิน 1 ปี นับแต่วันที่ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้จำเลย.
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเมื่อสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยในสำนวนแรกเสร็จแล้ว โดยคู่ความให้ถือเอาคำเบิกความของพยานบุคคลและพยานเอกสารที่สืบไปแล้วในสำนวนแรกเป็นพยานหลักฐานในสำนวนหลัง ซึ่งตามคำฟ้องโจทก์สำนวนแรกมีความว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน 1 แปลง ซึ่งโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาเมื่อปี พ.ศ.2515 จำเลยทำหนังสือมอบอำนาจปลอมว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยยื่นเรื่องราวขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจดทะเบียนยกที่ดินดังกล่าวให้จำเลย เจ้าพนักงานที่ดินออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้เป็นชื่อโจทก์และจดทะเบียนโอนให้จำเลยในวันเดียวกัน ซึ่งความจริงโจทก์ไม่ได้ทำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์และขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท
จำเลยให้การความว่า เมื่อปี พ.ศ. 2494 ขณะจำเลยเป็นพระภิกษุมีลูกหนี้มาขอกู้ยืมเงินจำเลย จำเลยจึงให้โจทก์ทำสัญญาเป็นผู้กู้แทน ต่อมาลูกหนี้มอบที่พิพาทให้เป็นการชำระหนี้ จำเลยได้แจ้งการครอบครองที่พิพาทโดยใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของเพื่อให้ตรงกับหลักฐานการกู้ยืมเงิน ปี พ.ศ. 2515 จำเลยจึงยื่นคำร้องขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทโดยโอนใส่ชื่อจำเลยตามความจริง โจทก์ไม่คัดค้าน และโจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทและยกฟ้องโจทก์ในสำนวนหลัง
จำเลยสำนวนแรกและโจทก์ในสำนวนหลังอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยสำนวนแรกและโจทก์ในสำนวนหลังฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ที่จำเลยฎีกาประเด็นข้อสุดท้ายว่าโจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง เพราะจำเลยแสดงเจตนาครอบครองที่พิพาทโดยโอนที่พิพาทมาเป็นของจำเลยตั้งแต่ พ.ศ. 2520 นั้น เห็นว่า การที่จำเลยยื่นเรื่องราวขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทเป็นชื่อโจทก์แล้วโอนที่พิพาทมาเป็นของจำเลยโดยอาศัยหนังสือมอบอำนาจปลอมว่า โจทก์มอบอำนาจให้กระทำการดังกล่าวจนเจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้จำเลยเมื่อวันที่ 4สิงหาคม 2520 นั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาท ทั้งปรากฏว่าเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2524 จำเลยยื่นแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2525 ถึงปีพ.ศ. 2528 ก็ระบุว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทตามเอกสารหมายจ.12 เท่ากับจำเลยยอมรับว่า โจทก์ยังเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทเมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้เข้าครอบครองที่พิพาทเพราะนายสีซึ่งทำนาในที่พิพาทเบิกความยืนยันว่าเช่าที่พิพาทจากโจทก์กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีได้แม้จะเกิน 1 ปี นับแต่วันที่ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้จำเลย…..
พิพากษายืน.