คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยประสงค์จะได้ที่ดินเพื่อตั้งโรงเลื่อยจักร จึงให้โจทก์โอนที่ดินให้เป็นของจำเลยในเมื่อยังดำเนินกิจการอยู่ และในคราวเดียวกัน โจทก์ประสงค์จะได้คืนที่ดินนั้นมา เมื่อจำเลยเลิกกิจการแล้ว การทำสัญญาโอนทำเป็นการซื้อขาย มูลค่า 4,000 บาทและจดทะเบียน ส่วนสัญญาเรื่องโอนคืนทำเป็นหนังสือไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งจำเลยยอมสัญญาตอบแทนว่า ถ้าจำเลยเลิกกิจการ จำเลยจะโอนคืนโดยไม่คิดมูลค่า ข้อตกลงนี้มิใช่การให้ตามกฎหมายลักษณะให้ แต่เป็นการปฏิบัติตอบแทนแก่อีกฝ่ายหนึ่งจากผลที่ได้รับ จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทน แม้มิได้ทำเป็นหนังสือหรือจดทะเบียน ก็ย่อมใช้บังคับแก่กันได้ จำเลยต้องโอนที่พิพาทให้โจทก์ตามสัญญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ขายที่ดินของโจทก์ให้จำเลยราคา ๔,๐๐๐ บาท เพื่อตั้งโรงเลื่อยจักร มีเงื่อนไขตกลงกันว่า ถ้าจำเลยเลิกกิจการ จำเลยต้องคืนที่ดินให้โจทก์ทันทีโดยไม่เรียกค่าตอบแทน ได้ทำสัญญาซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ในวันเดียวกันโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประกอบสัญญาซื้อขายเกี่ยวกับเงื่อนไขดังกล่าวต่อหน้าเจ้าพนักงาน ต่อมาจำเลยได้ตั้งโรงเลื่อยจักรดำเนินกิจการเรื่อยมาจน พ.ศ. ๒๕๐๐ กิจการเสื่อมโทรมเลิกล้มไป โจทก์เตือนจำเลย ๆ ขอผัดจะโอนคืนภายในสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๐๖ แต่จำเลยกลับปรับปรุงห้องพักคนงานให้เป็นห้องแถวให้คนเช่าเป็นการผิดเงื่อนไข ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยโอนคืนที่ดินและใช้ค่าเสียหายเท่าค่าเช่าที่ดินปีละ ๔,๐๐๐ บาท นับแต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ จนกว่าจะออกจากที่ดิน
จำเลยให้การว่า สัญญาจะคืนที่ดินเป็นสัญญาให้ ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่สมบูรณ์ หากถือว่าเป็นเงื่อนไขๆ ก็ไม่ได้จดทะเบียนจึงไม่สมบูรณ์ จำเลยมิได้เลิกกิจการโรงเลื่อยจักร ค่าเช่าไม่ควรถึงปีละ ๔,๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยเลิกกิจการโรงเลื่อยจักรแล้ว แต่สัญญาเป็นเรื่องจำเลยจะยกที่ดินให้โจทก์ไม่ได้จดทะเบียน ไม่สมบูรณ์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเชื่อว่า มูลเหตุที่โจทก์จำเลยจะทำสัญญาทั้ง ๒ ฉบับนั้นเกี่ยวข้องกัน คือจำเลยประสงค์จะได้ที่ดินของโจทก์เพื่อจัดตั้งโรงเลื่อยจักร จึงต้องการให้โจทก์โอนที่ดินให้เป็นของจำเลยในเมื่อจำเลยยังดำเนินกิจการโรงเลื่อยจักรอยู่ และในคราวเดียวกันโจทก์ก็ประสงค์จะได้คืนที่ดินนั้นมาในเมื่อจำเลยเลิกกิจการโรงเลื่อยจักรแล้ว แต่การทำสัญญาโอนได้ทำเป็นการซื้อขายมูลค่า ๔,๐๐๐ บาทและได้จดทะเบียน ส่วนข้อสัญญาเรื่องโอนคืนให้โจทก์เมื่อเลิกกิจการโรงเลื่อยได้ทำกันเป็นหนังสือแต่หาได้จดทะเบียนไม่ ทั้งน่าเชื่อว่าเนื่องจากจำเลยได้ประโยชน์ในการตั้งโรงเลื่อย ตลอดจนการที่โจทก์ยอมให้จำเลยใช้ที่ดินของโจทก์อีกแปลงหนึ่งเป็นทางเข้าออกจำเลยจึงยอมสัญญาตอบแทนว่า ถ้าจำเลยเลิกกิจการโรงเลื่อย จำเลยก็จะโอนที่ดินคืนให้โจทก์โดยไม่คิดมูลค่า ข้อตกลงเรื่องโอนขายที่ดินและโอนที่ดินคืนนี้เป็นการตกลงในวาระเดียว ฉะนั้น ข้อตกลงส่วนหนึ่งที่จำเลยจะโอนคืนให้โจทก์โดยไม่คิดมูลค่าจึงมิใช่การให้ตามลักษณะให้ แต่เป็นการปฏิบัติตอบแทนแก่อีกฝ่ายจากผลที่จำเลยได้รับ ข้อตกลงเช่นนี้จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทน แม้มิได้ทำเป็นหนังสือหรือจดทะเบียน ก็ย่อมใช้บังคับแก่กันได้
จำเลยจึงต้องโอนที่พิพาทให้โจทก์ตามสัญญา ค่าเสียหายเห็นสมควรกำหนดให้ปีละ ๑,๐๐๐ บาท
พิพากษากลับ ให้จำเลยโอนที่พิพาทคืนให้โจทก์และรื้อถอนอาคารออกไป ห้ามมิให้เกี่ยวข้อง และใช้ค่าเสียหายปีละ ๑,๐๐๐ บาท นับแต่ตุลาคม ๒๕๐๖ จนกว่าจะออก.

Share