แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งมีชื่อจำเลยและผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินครึ่งหนึ่งทางทิศเหนือเป็นส่วนสัดมาตั้งแต่ได้รับการยกให้จากบิดาเมื่อโจทก์รับจำนองที่ดินส่วนที่เป็นของจำเลยโจทก์ก็ทราบว่ารับจำนองเฉพาะที่ดินส่วนที่อยู่ทางทิศใต้ดังนี้โจทก์จะบังคับคดียึดที่ดินทั้งแปลงออกขายทอดตลาดให้ผู้ร้องกันเงินครึ่งหนึ่งที่ได้จากการขายทอดตลาดมิได้ผู้ร้องย่อมมีสิทธิที่จะขอให้กันที่ดินส่วนทางด้านทิศเหนือของผู้ร้องออกก่อนขายทอดตลาด กรณีเช่นนี้เป็นเรื่องการร้องขอกันส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 มิใช่เป็นการร้องขัดทรัพย์ตามมาตรา 288 จึงเรียกค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์มิได้เมื่อศาลอุทธรณ์เรียกค่าขึ้นศาลมาไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาย่อมสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ด้วย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 26เนื้อที่ 2 งาน 48 ตารางวา กับบ้านที่ปลูกในที่ดินดังกล่าว 1 หลัง ซึ่งมีชื่อจำเลยและผู้ร้องเป็นเจ้าของรวม
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องครึ่งหนึ่งทางด้านทิศเหนือติดกับทางสาธารณประโยชน์ ผู้ร้องครอบครองเป็นส่วนสัดมีอาณาเขตแน่นอนแยกจากส่วนที่เป็นของจำเลย ส่วนบ้านเลขที่ 175 ปลูกอยู่ในที่ดินส่วนที่เป็นของจำเลย เฉพาะส่วนด้านหลังที่ต่อจากตัวบ้านเดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ขอให้ศาลกันที่ดินส่วนของผู้ร้องออก และให้ผู้ร้องรื้อถอนบ้านส่วนที่ต่อเติม ให้ขายทอดตลาดเฉพาะที่ดินและบ้านส่วนที่เป็นของจำเลย
โจทก์คัดค้านว่า ผู้ร้องและจำเลยต่างครอบครองที่ดินซึ่งโจทก์นำยึดร่วมกันตลอดมา มิได้มีการแบ่งแยกกันครอบครองเป็นส่วนสัด บ้านส่วนที่ต่อเติมเป็นส่วนควบของตัวบ้านและที่ดิน ผู้ร้องจึงชอบที่จะขอกันส่วนจากเงินที่ได้จากากรขายทอดตลาดทั้งหมด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทตอนเหนือตั้งแต่ถนนสาธรณะถึงเสาไม้แก่น และให้ขายทอดตลาดเฉพาะที่ดินด้านทิศใต้ตั้งแต่เสาไม้แก่นถึงแม่น้ำเพชรบุรี คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง แต่ไม่ตัดสิทธิที่จะร้องขอกันเงินส่วนของตนตามสิทธิจากการขายทอดตลาด
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 นั้นเจ้าของรวมอาจจะตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างเจ้าของรวมด้วยกันเอง หรือขายทรัพย์สินแล้วเอาเงินที่ขายได้แบ่งกัน ดังนั้นการวินิจฉัยปัญหาว่า ผู้ร้องมีสิทธิจะขอให้กันที่ดินเฉพาะส่วนของผู้ร้องครึ่งหนึ่งก่อนนำออกขายทอดตลาดได้หรือไม่จึงอยู่ที่ว่าได้มีการแบ่งกันครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดดังที่ผู้ร้องอ้างหรือไม่ เห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งเดิมเป็นของนายแถมบิดาจำเลย ผู้ร้องและนางสำรวย นายแถมได้ปลูกเรือนอาศัยอยู่ก่อนที่จะยกให้แก่ผู้ร้องและนางสำรวย หลังจากจดทะเบียนยกที่ดินให้ดังกล่าวแล้ว นางสำรวยเป็นผู้อาศัยอยู่ที่เรอนกับบิดามารดาส่วนผู้ร้องแยกไปอยู่กับสามีที่จังหวัดอื่นจึงฟังได้ว่านอกจากจะได้ส่วนแบ่งที่ดินครึ่งหนึ่งแล้ว นางสำรวยยังเป็นฝ่ายได้เรือนเลขที่ 175 ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นของนางสำรวยด้วย ทั้งโจทก์ก็ทราบดีตั้งแต่ก่อนที่จะจดทะเบียนรับจำนองว่าที่ดินพิพาทส่วนของนางสำรวยที่จำนองแก่โจทก์นั้นอยู่ทางด้านทิศใต้ติดกับแม่น้ำเพชรบุรี ศาลฎีกาเชื่อว่าได้มีการแบ่งกันครอบครองที่ดินพิพาทระหว่างผู้ร้องและนางสำรวยเป็นส่วนสัด ก่อนที่นางสำรวยจะนำที่ดินพิพาทส่วนของตนไปจำนองแก่โจทก์แล้ว เช่นนี้ หากจะขายที่ดินพิพาทไปทั้งแปลงและให้ผู้ร้องคงมีสิทธิที่จะขอให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดครึ่งหนึ่ง ก็จะไม่เป็นธรรม เพราะการขายทอดตลาดทรัพย์สินนั้นอาจจะไม่ได้ราคาดังนั้นผู้ร้องจึงมีสิทธิที่จะขอให้กันที่ดินส่วนทางด้านทิศเหนือซึ่งติดกับถนนสาธารณะส่วนของผู้ร้องออกก่อนขายทอดตลาดได้
อนึ่ง คดีนี้เป็นเรื่องการร้องขอกันส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 287 มิใช่เป็นการร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288 ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้เรียกค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์นั้นไม่ถูกต้อง จึงให้คืนค่าขึ้นศาลที่เสียเกินมาในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแก่โจทก์และผู้ร้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดเฉพาะที่ดินส่วนด้านทิศใต้พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งติดกับแม่น้ำเพชรบุรีคิดเป็นเนื้อที่ครึ่งหนึ่งของเนื้อที่ทั้งหมด