คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2867/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

หนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลของโจทก์เป็นเอกสารมหาชนซึ่งเจ้าพนักงานจัดทำขึ้น และต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายังต้องนำสืบความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสาร โจทก์จึงไม่จำต้องนำพยานบุคคลมาเบิกความรับรองเอกสารดังกล่าวอีก ส่วนหนังสือมอบอำนาจฟ้องคดีคำพิพากษาตามยอมคดีหมายเลขแดงที่ 15475/2537 ของศาลแพ่ง บัญชีแสดงรายการรับจ่ายเงินในการบังคับคดีทรัพย์สินจำเลยของกรมบังคับคดี รายละเอียดการคำนวณยอดหนี้ของจำเลย และคำขอตรวจสอบกรรมสิทธิ์ที่ดิน แม้โจทก์จะไม่ได้นำพยานที่จัดทำเอกสารดังกล่าวมาสืบแต่ก็ได้ทำเป็นสำเนาเอกสารท้ายฟ้องและอ้างไว้ในบัญชีระบุพยานเมื่อโจทก์นำสืบจำเลยก็ไม่ได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสารว่าไม่มีต้นฉบับ จึงเป็นพยานหลักฐานที่ศาลรับพิจารณาได้ว่ามีข้อเท็จจริงอยู่อย่างไรโดยไม่ต้องมีพยานที่จัดทำเอกสารมาเบิกความรับรองหรือชี้แจงประกอบ
โจทก์ได้ตรวจสอบการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครและเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาลาดพร้าวซึ่งเป็นท้องที่ที่จำเลยมีภูมิลำเนาแล้วไม่พบชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินถือได้ว่าโจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยแล้ว จำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้อีก กรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 8(5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 15475/2537 โจทก์ขอศาลออกหมายบังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองเป็นที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างรวม 12 แปลงของจำเลยออกขายทอดตลาด โจทก์ได้รับเงินจากการขายทอดตลาดซึ่งหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการขายทอดตลาดและนำไปหักจากหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวคิดถึงวันขายทอดตลาดจำเลยยังค้างชำระอีก 5,738,962.58 บาทและดอกเบี้ยถึงวันที่ 22 ตุลาคม 2542 เป็นเงิน 3,430,170.07 บาทรวมเป็นเงิน 9,169,132.65 บาท อันเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน โจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยแต่จำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้อีก ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย

จำเลยไม่ยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายพิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว และมีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์มิได้นำพยานที่จัดทำเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.7 มาเบิกความรับรองความถูกต้องจึงรับฟังไม่ได้นั้น เห็นว่า หนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลของโจทก์เอกสารหมาย จ.1 เป็นเอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้นซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 บัญญัติให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้องเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันต้องนำสืบความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสาร โจทก์จึงไม่จำต้องนำพยานบุคคลมาเบิกความรับรองเอกสารดังกล่าวอีก ส่วนที่โจทก์ไม่ได้นำพยานที่จัดทำเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.7ซึ่งได้แก่ หนังสือมอบอำนาจฟ้องคดี คำพิพากษาตามยอมคดีหมายเลขแดงที่ 15475/2537 ของศาลแพ่ง บัญชีแสดงรายการรับจ่ายเงินในการบังคับคดีทรัพย์สินจำเลยของกรมบังคับคดี รายละเอียดการคำนวณยอดหนี้ของจำเลยและคำขอตรวจสอบกรรมสิทธิ์ที่ดิน มาเบิกความรับรองความถูกต้องด้วยก็ตาม แต่เอกสารดังกล่าวโจทก์ได้ทำเป็นสำเนาเอกสารท้ายฟ้อง และระบุอ้างเป็นพยานในบัญชีระบุพยาน เมื่อโจทก์นำเอกสารเหล่านี้มาสืบ จำเลยก็ไม่ได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสารว่าไม่มีต้นฉบับหรือต้นฉบับนั้นปลอมทั้งฉบับหรือบางส่วน หรือสำเนานั้นไม่ถูกต้องกับต้นฉบับแต่อย่างใด ก็ย่อมเป็นพยานหลักฐานที่ศาลรับพิจารณาได้ว่ามีข้อเท็จจริงอยู่อย่างไร โดยไม่ต้องมีพยานที่จัดทำเอกสารมาเบิกความรับรองหรือชี้แจงประกอบ นอกจากนั้นแล้วตามบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นตลอดจนบันทึกคำเบิกความพยานจำเลยปากนายทนงศักดิ์ ทนงคงสวัสดิ์ ทนายความจำเลยเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2542 ก็ยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 15475/2537 ขณะฟ้องมีทุนทรัพย์ 9,018,933.75 บาท และโจทก์นำที่ดินของจำเลยออกขายทอดตลาดได้รับเงินสุทธิ 6,134,520 บาท ดังนั้น จำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท เมื่อโจทก์ได้ตรวจสอบการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครและเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาลาดพร้าว ซึ่งเป็นท้องที่ที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ตามฟ้องตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7แล้วไม่พบชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน ถือได้ว่าโจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยแล้ว จำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้อีก กรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(5) จำเลยเพียงแต่นำสืบอ้างว่า หนี้ที่จำเลยค้างชำระเป็นดอกเบี้ยเกือบทั้งสิ้น และโจทก์ไม่ยอมลดดอกเบี้ยให้ โดยมิได้นำสืบพยานหักล้างว่ามีทรัพย์สินพอชำระหนี้ให้โจทก์ จึงต้องฟังว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่มีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share