คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 285/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกระทำอันจะเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 นั้น ผู้กระทำจะต้องกระทำด้วยเจตนาแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนโดยทั่วไป จะถือเอาจำนวนผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงมากหรือน้อย และผลเสียหายอันเกิดจากคำหลอกลวงของจำเลยมีมากหรือน้อยเป็นหลักหาได้ไม่ และเมื่อโจทก์มิได้ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยได้หลอกลวงประชาชนโดยทั่วไป จึงเป็นฟ้องที่ไม่ครบองค์ความผิดตามมาตรา 343
เมื่อผู้ว่าจ้างแต่ละคนได้รับความเสียหายโดยได้จ่ายเงินสดและเช็คให้จำเลยรับไป ผู้ว่าจ้างแต่ละคนก็เป็นผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันเวลาที่เทศบาลเมืองสวรรคโลกกำหนดให้ประชาชนผู้เช่าที่ดินเทศบาลในเขตเพลิงไหม้ปลูกตึกแถวให้เสร็จในกำหนด จำเลยที่ ๑ เป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทสหวัฒนะชัยกับจำเลยนอกนั้นหลอกลวงนายบุญช่วยกับพวกรวม ๒๑ คน ซึ่งเป็นประชาชนซึ่งจะต้องจัดการปลูกตึกแถวด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งว่าบริษัทดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ เป็นบริษัทมีชื่อเสียง เปิดรับเหมาก่อสร้างตึกด้วยราคาเงินสดและผ่อนเพื่อช่วยเหลือผู้มีทุนน้อย ราคาถูกกว่าบริษัทอื่น บริษัทมีหลักฐานมั่นคง มีทุน ๒ ล้านบาท ฯลฯ นายบุญช่วยกับพวกหลงเชื่อ ตกลงทำสัญญาซึ่งเป็นเอกสารสิทธิกับบริษัท ความจริงบริษัทมิได้มีทุน ๒ ล้าน มิได้มีเจตนาปลูกให้เสร็จในกำหนด จำเลยกับพวกประสงค์แต่เพียงจะได้ซึ่งทรัพย์สินจากนายบุญช่วยกับพวกเท่านั้น ต่อมาจำเลยที่ ๑ กับพวกหลอกลวงว่าจะเร่งรัดจัดการก่อสร้างให้เร็วขึ้น ขอให้จ่ายเงินและเช็คเป็นหลักประกัน นายบุญช่วยกับพวกหลงเชื่อจ่ายเงินและเช็คอันเป็นเอกสารสิทธิให้บริษัท โดยจำเลยที่ ๑ รับไป ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๓๔๑, ๓๔๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ผิดตามมาตรา ๓๔๓ จำคุก ๒ ปี ยกฟ้องสำหรับจำเลยนอกนั้น
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยมีเจตนาทุจริต ใช้อุบายและวางแผนฉ้อโกงในการก่อสร้างอาคาร แสดงข้อความเท็จหลอกลวงจนผู้เสียหายหลงเชื่อจำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์โดยผู้เสียหายจ่ายเงินสดและเช็คให้จำเลย จึงเป็นผิดฐานฉ้อโกง และเห็นว่า ทางพิจารณาปรากฏว่า บรรดาผู้เสียหายในคดีนี้มีถึง ๒๑ คน และยังปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นกรรมการผู้จัดการรับเหมาก่อสร้างตึกแถวประมาณ ๗๐ – ๘๐ กว่าห้อง ถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้กระทำการหลอกลวงฉ้อโกงประชาชนตามมาตรา ๓๔๓ พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา ศาลชั้นต้นรับเฉพาะข้อกฎหมาย คือ ๑ ผู้เสียหายหรือผู้ว่าจ้างให้สร้างตึกแถวมิใช่ผู้เสียหาย ๒. มูลคดีเป็นเรื่องผิดสัญญาในอนาคต ไม่ผิดอาญา
ศาลฎีกาเห็นว่า ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้ว ฎีกาข้อแรก เมื่อฟังว่าผู้ว่าจ้างแต่ละคนได้รับความเสียหาย โดยได้จ่ายเงินสดและเช็คให้จำเลยรับไปแล้ว ผู้ว่าจ้างแต่ละคนก็เป็นผู้เสียตามกฎหมาย มีอำนาจร้องทุกข์ขอให้ดำเนินคดีได้
ข้อสอง เมื่อฟังว่าจำเลยได้มีเจตนาทุจริตใช้อุบายวางแผนเพื่อฉ้อโกงโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จหลอกลวงจนผู้ว่าจ้างหรือผู้เสียหายหลงเชื่อ จ่ายเงินสดและเช็คให้จำเลยที่ ๑ รับไป การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงครบองค์ความผิดฐานฉ้อโกง มีความผิดดังฟ้อง อนึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำอันจะเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ นั้น ผู้กระทำต้องกระทำด้วยเจตนาแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนโดยทั่วไป จะถือเอาจำนวนผู้เสียหายที่ถูกหลองลวงมากหรือน้อย และผลเสียหายอันเกิดจากคำหลอกลวงของจำเลยมีมากน้อยเป็นหลักในการพิจารณาว่า เป็นการกระทำที่มีเจตนาแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนโดยทั่วไปหาได้ไม่ คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวงนายบุญช่วยกับพวกรวม ๒๑ คน อันเป็นการหลอกลวงคนเป็นจำนวนมากเท่านั้น มิได้ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยหลอกลวงประชาชนโดยทั่วไป ฉะนั้น ฟ้องโจทก์จึงยังไม่ครบองค์ความผิดตามมาตรา ๓๔๓ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามมาตรา ๓๔๑ นอกนั้นยืน

Share