คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2831/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมีไว้เพื่อใช้ซึ่งเครื่องชั่งที่ผิดอัตรา และได้ใช้เครื่องชั่งนั้นในกิจการต่อเนื่องกับผู้อื่น ซึ่งต่างก็มีวัตถุประสงค์เพื่อเอาเปรียบในการค้าเช่นเดียวกัน จึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ศาลล่างทั้งสองลงโทษเป็น 2 กระทง ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 270, 32, 33, 91 พระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 31 เป็น 2 กระทง ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270ทั้ง 2 กระทง จำคุกกระทงละ 5 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 2 เดือน 15 วัน รวมจำคุก 5 เดือน ริบของกลางศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 คู่ความฎีกาได้แต่เฉพาะข้อกฎหมายซึ่งจำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270 เคลือบคลุม เพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า บุคคลผู้เกี่ยวข้องเป็นใคร จำเลยเอาเปรียบในการค้าอย่างไร และบุคคลนั้นเสียหายเพียงใดพิเคราะห์แล้วตามบันทึกการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์ และบันทึกคำฟ้องแบบ (ข.4) ของศาลมีข้อความว่า จำเลยบังอาจมีเครื่องชั่งที่ผิดอัตราเพื่อเอาเปรียบในการค้า โดยชั่งน้ำหนัก 1 กิโลกรัม น้ำหนักจะขาดไป 300 กรัมทำให้ผู้ขายได้เปรียบผู้ซื้อตามจำนวนที่ขาด ตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยบังอาจใช้เครื่องชั่งที่จำเลยมีไว้ชั่งของขายให้แก่ผู้ซื้อ ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270 แล้ว แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องว่าผู้ซื้อเป็นใคร ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำผิดเป็นสองกรรมโดยให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270 ทั้งสองกระทงและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ซึ่งเครื่องชั่งที่ผิดอัตราก็ดี และในขณะมีเครื่องชั่งดังกล่าวเพื่อใช้ จำเลยได้ใช้เครื่องชั่งนั้นในกิจการต่อเนื่องกับผู้อื่นก็ดี ต่างก็มีวัตถุประสงค์เพื่อเอาเปรียบในการค้าเช่นเดียวกัน ดังนั้น การที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้และใช้เครื่องชั่งของกลางในลักษณะดังกล่าว จึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 270 พระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พระพุทธศักราช 2466 มาตรา 31 เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270 ฐานใช้เครื่องชั่งที่ผิดอัตรา อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอันเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน จำเลยเป็นหญิงมีบุตรที่จะต้องอุปการะหลายคน ไม่ปรากฏว่าเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนโทษที่จำเลยได้รับมีเพียงเล็กน้อย พิจารณาถึงสภาพแห่งความผิดแล้วเห็นควรให้โอกาสจำเลยสักครั้งหนึ่ง ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ริบของกลาง”

Share