แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมีไม้เต็งรัง ไม้เหียง ไม้พลวง ไม้มะค่าแต้ และไม้แดง อันเป็นไม้แระเภทหวงห้าม ไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงประทับ รวม 97896 ท่อน เป็นไม้ติดเปลือกยาว 120 เซ็นติเมตรถึง 300 เซ็นติเมตร โต-วัดโดยรอบประมาณ 20 – 30 เซ็นติเมตร ดังนี้ เป็นแต่ไม้ที่ตัดออกเป็นท่อนยังไม่ถึงขนาดเป็นไม้แปรรูป จึงเป็นหน้าที่จำเลยที่แสดงให้เห็นว่า ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายตามความหมายใน พ.ร.บ.ป่าไม้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีไม้หวงห้าม ซึ่งยังมิได้แปรรูป และไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงประทับไว้ในครอบครอง โดยพิสูจน์ไม่ได้ว่า ได้ไม้นี้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ๒๔๘๔ มาตรา ๖๙ ให้ปรับ ๕๐๐ บาท ของกลางริบ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม้ของกลางเป็นไม้ฟืน ซึ่งแสดงว่าได้มีการแปรรูปแล้ว จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว ได้ความว่าไม้ของกลางเป็นไม้ติดเปลือกยาว ๑๒๐ เซ็นติเมตร ถึง ๓๐๐ เซ็นติเมตร โตวัดโดยรอบประมาณ ๒๐ – ๓๐ เซ็นติเมตร ไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงประทับ ศาลฎีกาเห็นว่าไม้รรายนี้เป็นแต่ไม้ที่ตัดออกเป็นท่อน ยังไม่ถึวขนาดเป็นไม้แปรรูป ฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะแสดงให้เห็นว่าได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย แล้วฟังว่าจำเลยสืบแสดงไม่ได้ว่า ได้ไม้ของกลางมาโดยชอบด้วยกฎหมายจึงต้องมีผิด
พิพากษากลับศาลอุทธรณ์ ให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้น