คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2803/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยมีข้อโต้เถียงเป็นประเด็นพิพาทถึงสิทธิของผู้ร้องซึ่งมีข้อต่อสู้ว่าโจทก์จะขับไล่ผู้ร้องด้วยดังที่อ้างว่าเป็นบริวารของจำเลย จึงถือได้ว่ามีการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีมีสิทธิร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2522 นายแทนหรือแคลนฉิมมณี สามีของจำเลยทำหนังสือเช่าที่ดินของโจทก์ โฉนดเลขที่ 20915 เพื่อปลูกบ้านและทำสวน เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ ในระหว่างสัญญาเช่า นายแทนถึงแก่กรรม โจทก์ก็อนุญาตให้จำเลยพร้อมบริวารอยู่ต่อไปจนครบกำหนด เมื่อครบอายุตามสัญญาเช่าแล้วโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยและบริวารอยู่ในที่ดินของโจทก์อีกต่อไปและบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย จึงขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายครอบครัวและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ ภายใน 15 วัน นับแต่คดีถึงที่สุดห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์อีกต่อไป และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ปีละ 4,800 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า สามีของจำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินตามฟ้องกับสามีโจทก์จำนวน 5 ไร่ เพื่อทำไร่ทำสวน มีกำหนดระยะเวลาเช่า5 ปี เมื่อครบกำหนดแล้ว โจทก์ให้สามีจำเลยเช่าที่ดินทำไร่ทำสวนต่อมาสามีจำเลยถึงแก่กรรมลง นายสมบัติ อุทัย ซึ่งเป็นบุตรเขยของจำเลยได้ตกลงเช่าที่ดินดังกล่าวกับโจทก์ต่อจากสามีจำเลย จำเลยไม่ได้เช่าที่ดินกับโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย โจทก์ไม่เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมอ้างว่า ผู้ร้องเช่าที่พิพาทกับโจทก์ต่อจากสามีจำเลย จำเลยเป็นบริวารของผู้ร้องผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี ศาลชั้นต้นยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ภายใน 15 วัน ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยและผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรับผู้ร้องเข้าเป็นจำเลยร่วม ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าจำเลยเป็นภรรยาของนายแทนหรือแคลน ฉิมมณีผู้เช่าที่ดินเพื่อปลูกบ้านพักและทำสวน ระหว่างสัญญาเช่า นายแทนหรือแคลนถึงแก่กรรมโจทก์ก็อนุญาตให้จำเลยพร้อมบริวารอาศัยอยู่ต่อไปจนครบสัญญาเช่าจึงบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารขนย้ายครอบครัวพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกไป จำเลยให้การว่าผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรเขยของจำเลยได้ตกลงเช่าที่ดินดังกล่าวกับโจทก์ต่อจากสามีจำเลยเพื่อใช้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม จำเลยไม่ได้เช่าที่ดินจากโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยผู้ร้องได้ยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นจำเลยร่วมอ้างว่า ผู้ร้องเช่าที่พิพาทจากโจทก์ต่อจากสามีจำเลย จำเลยเป็นบริวารของผู้ร้อง ดังนี้ คำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยมีข้อโต้เถียงเป็นประเด็นพิพาทถึงสิทธิของผู้ร้องซึ่งมีข้อต่อสู้ว่าโจทก์จะขับไล่ผู้ร้องด้วย ดังที่อ้างว่าเป็นบริวารของจำเลยตามฟ้องนั้นไม่ได้ จึงถือได้ว่ามีการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีมีสิทธิร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2)
พิพากษายืน

Share