คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2803/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นภรรยาของ ท. ซึ่งเป็นผู้เช่าที่ดินของโจทก์เพื่อปลูกบ้านพักและทำสวน ระหว่างสัญญาเช่า ท. ถึงแก่กรรมโจทก์อนุญาตให้จำเลยพร้อมบริวารอาศัยอยู่ต่อไปจนครบสัญญาเช่าจึงบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารขนย้ายครอบครัวพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉยจึงขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไป จำเลยให้การว่า ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรเขยของจำเลยได้ตกลงเช่าที่ดินดังกล่าวกับโจทก์ต่อจากสามีจำเลยเพื่อใช้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม จำเลยไม่ได้เช่าที่ดินจากโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง ต่อมา ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นจำเลยร่วมอ้างว่า ผู้ร้องเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ต่อจากสามีจำเลย จำเลยเป็นบริวารของผู้ร้อง ดังนี้ คำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยมีข้อโต้เถียงเป็นประเด็นพิพาทถึงสิทธิของผู้ร้องซึ่งมีข้อต่อสู้ว่าโจทก์จะขับไล่ผู้ร้องด้วย ถือได้ว่ามีการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี มีสิทธิร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายแทนสามีของจำเลยทำหนังสือเช่าที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 20915 เพื่อปลูกบ้านเลขที่ 36 และทำสวนในระหว่างสัญญาเช่า นายแทนถึงแก่กรรม โจทก์ก็อนุญาตให้จำเลยพร้อมบริวารอยู่ต่อไปจนครบกำหนด เมื่อครบอายุตามสัญญาเช่าแล้วโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยและบริวารอยู่ในที่ดินของโจทก์อีกต่อไปขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายครอบครัวและสิ่งปลูกสร้างคือบ้านเลขที่ 36 ออกจากที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์อีกต่อไป และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ปีละ 4,800 บาท
จำเลยให้การว่า เมื่อสามีจำเลยถึงแก่กรรมลง นายสมบัติบุตรเขยของจำเลยได้ตกลงเช่าที่ดินดังกล่าวกับโจทก์ต่อจากสามีจำเลยจำเลยไม่ได้เช่าที่ดินกับโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย โจทก์ไม่เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมอ้างว่า ผู้ร้องเช่าที่พิพาทกับโจทก์ต่อจากสามีจำเลย จำเลยเป็นบริวารของผู้ร้องผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี ศาลชั้นต้นยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ภายใน 15 วัน ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยและผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรับผู้ร้องเข้าเป็นจำเลยร่วม ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารขนย้ายครอบครัวและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าจำเลยเป็นภรรยาของนายแทนหรือแคลน ฉิมมณี ผู้เช่าที่ดินเพื่อปลูกบ้านพักและทำสวน ระหว่างสัญญาเช่า นายแทนหรือแคลนถึงแก่กรรม โจทก์ก็อนุญาตให้จำเลยพร้อมบริวารอาศัยอยู่ต่อไปจนครบสัญญาเช่าจึงบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารขนย้ายครอบครัวพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกไป จำเลยให้การว่า ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรเขยของจำเลยได้ตกลงเช่าที่ดินดังกล่าวกับโจทก์ต่อจากสามีจำเลยเพื่อใช้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม จำเลยไม่ได้เช่าที่ดินจากโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นจำเลยร่วมอ้างว่าผู้ร้องเช่าที่พิพาทจากโจทก์ต่อจากสามีจำเลย จำเลยเป็นบริวารของผู้ร้อง ดังนี้ คำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยมีข้อโต้เถียงเป็นประเด็นพิพาทถึงสิทธิของผู้ร้องซึ่งมีข้อต่อสู้ว่าโจทก์จะขับไล่ผู้ร้องด้วย ดังที่อ้างว่าเป็นบริวารของจำเลยตามฟ้องนั้นไม่ได้จึงถือได้ว่ามีการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี มีสิทธิร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share