แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตราสารค้ำประกันตามบัญชีอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6 ข้อ 17 บัญญัติว่า “(ก) สำหรับกรณีมิได้จำกัดจำนวนเงินไว้ ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท (ข) สำหรับจำนวนเงินไม่เกิน 1,000 บาท ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท (ค) สำหรับจำนวนเงินเกิน 1,000 บาท แต่ไม่เกิน 10,000 บาท ค่าอากรแสตมป์ 5 บาท (ง) สำหรับจำนวนเงินเกิน 10,000 บาทขึ้นไป ค่าอากรแสตมป์ 10 บาท”
สำหรับกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินไว้นั้น หมายถึงกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้ คือลูกหนี้รับผิดอย่างไรผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดแทนอย่างนั้นนั่นเอง กล่าวคือเมื่อผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้โดยมิได้จำกัดจำนวนเงินไว้ก็ไม่ต้องพิสูจน์หนี้ของผู้ค้ำประกันต่อไป โดยถือว่าหนี้ของผู้ค้ำประกันมีเท่ากับหนี้ของลูกหนี้ จึงให้เสียค่าอากรแสตมป์เพียง 1 บาท แต่กรณีที่จำกัดจำนวนเงินที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้ไม่ถึงหนี้ของลูกหนี้ ก็ย่อมจำเป็นที่จะต้องพิสูจน์หนี้ของผู้ค้ำประกันต่อไป เป็นการพิสูจน์หนี้ทั้งของลูกหนี้และของผู้ค้ำประกัน เป็นการเพิ่มความยุ่งยากขึ้นอีก จึงให้ปิดอากรแสตมป์เพิ่มขึ้นตามจำนวนหนี้ดังที่บัญญัติไว้ในข้อ (ข) (ค) และ (ง)
หนังสือสัญญาค้ำประกันตามฟ้องมีใจความว่า การที่ผู้เช่าซื้อได้ทำสัญญาเช่าซื้อไว้นั้น ถ้าผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชอบชดใช้เงินตามสัญญาดังกล่าวแก่บริษัทก็ดี จะต้องรับผิดชดใช้เงินในความเสียหายใดๆ แก่บริษัทก็ดี ข้าพเจ้า (จำเลย) ยอมค้ำประกันและรับผิดชอบเป็นลูกหนี้ร่วมกับผู้เช่าซื้อทุกประการ จึงเป็นกรณีที่มิได้จำกัด จำนวนเงินไว้คือลูกหนี้รับผิดอย่างไรผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดแทน (ร่วมกัน) ลูกหนี้อย่างนั้น ดังบัญญัติไว้ในข้อ (ก) หนังสือสัญญาค้ำประกันดังกล่าวซึ่งปิดอากรแสตมป์ 1 บาท จึงเป็นตราสารที่ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากร และใช้เป็นพยานหลักฐานได้ตามกฎหมายแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่านายมนัส จี๋เจริญ เช่าซื้อโทรทัศน์ไปจากโจทก์เป็นเงิน ๘,๒๘๐ บาท สัญญาจะชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์เป็นงวด งวดละ ๔๖๐ บาท จำเลยทำสัญญาค้ำประกันไม่จำกัดความรับผิดโดยสัญญา ถ้านายมนัสไม่ชำระหนี้ตามสัญญาจำเลยจะชำระให้แก่โจทก์ ต่อมานายมนัสผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยต้องร่วมรับผิดกับนายมนัส ขอให้บังคับให้จำเลยส่งมอบโทรทัศน์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ถ้าคืนไม่ได้ให้จำเลยใช้ราคา ๖,๐๐๐ บาท กับค่าเสียหาย ๒,๗๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า สัญญาเช่าซื้อมีข้อความกำหนดอัตราค่าเช่าซื้อแน่นอนแล้ว หากจำเลยจะต้องรับผิดมากกว่าจำนวนเงินค่าเช่าซื้อที่ระบุไว้ในสัญญาก็เป็นกรณีที่เกิดขึ้นภายหลัง สัญญาค้ำประกันตามฟ้องต้องปิดอากรแสตมป์ ตามประมวลรัษฎากรไม่ต่ำกว่า ๕ บาท หรือ ๑๐ บาท เมื่อโจทก์ปิดอากรแสตมป์เพียง ๑ บาท ไม่ครบถ้วน ใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๘ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่าให้จำเลยส่งมอบเครื่องรับโทรทัศน์ตามฟ้องแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย ถ้าคืนไม่ได้ให้จำเลยใช้เงิน ๖,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๒,๗๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตราสารค้ำประกันตามบัญชีอากรแสตมป์ท้ายหมวด ๖ อันดับ ๑๗ บัญญัติว่า “(ก) สำหรับกรณีมิได้จำกัดจำนวนเงินไว้ ค่าอากรแสตมป์ ๑ บาท (ข) สำหรับจำนวนเงินไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท ค่าอากรแสตมป์ ๑ บาท (ค) สำหรับจำนวนเงินเกิน ๑,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท ค่าอากรแสตมป์ ๕ บาท (ง) สำหรับจำนวนเงินเกิน ๑๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป ค่าอากรแสตมป์ ๑๐ บาท” หนังสือสัญญาค้ำประกันตามภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องหรือตามเอกสารหมาย จ.๒ ที่ปิดอากรแสตมป์เพียง ๑ บาทนั้น ชอบด้วยบัญชีอากรแสตมป์ข้อ (ก) ดังกล่าวข้างต้นหรือไม่ เห็นว่า คำว่า “สำหรับกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินไว้…” นั้น หมายถึงกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้ คือลูกหนี้รับผิดอย่างไรผู้ค้ำประกันก็ต้องผิดแทนอย่างนั้นนั่นเอง ซึ่งพอจะเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ กล่าวคือเมื่อผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้โดยมิได้จำกัดจำนวนเงินไว้ก็ไม่ต้องพิสูจน์หนี้ของผู้ค้ำประกันต่อไป โดยถือว่าหนี้ของผู้ค้ำประกันเท่ากับหนี้ของลูกหนี้ จึงให้เสียค่าอากรแสตมป์เพียง ๑ บาท แต่กรณีที่จำกัดจำนวนเงินที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้ของผู้ค้ำประกันต่อไปเป็นการพิสูจน์หนี้ทั้งของลูกหนี้และผู้ค้ำประกัน เป็นการเพิ่มความยุ่งยากขึ้นอีก จึงให้ปิดอากรแสตมป์เพิ่มขึ้นตามจำนวนหนี้ดังที่บัญญัติไว้ในข้อ (ข) (ค) และ (ง) ดังกล่าวข้างต้น สำหรับสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.๒ ดังกล่าวข้อ ๑ มีว่า “การที่ผู้เช่าซื้อ นายมนัส จี๋เจริญ ได้ทำสัญญาเช่าซื้อเลขที่ ๑๑๗๐๔ ลงวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๒๐ นั้น ถ้าผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชอบชดใช้เงินตามสัญญาดังกล่าวแก่บริษัทก็ดีจะต้องรับผิดชอบชดใช้เงินในความเสียหายใดๆ แก่บริษัทก็ดี ข้าพเจ้า (จำเลย) ยอมค้ำประกันและรับผิดชอบเป็นลูกหนี้ร่วมกับผู้เช่าซื้อทุกประการ” เห็นว่าการที่หนังสือสัญญาค้ำประกันมีข้อความว่า จำเลยยอมรับผิดชอบเป็นลูกหนี้ร่วมกับผู้เช่าซื้อทุกประการ จึงเป็นกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินไว้ คือลูกหนี้รับผิดอย่างไร ผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดแทน (ร่วมกัน) ลูกหนี้อย่างนั้น ดังที่บัญญัติไว้ในข้อ (ก) ดังกล่าวข้างต้น หนังสือสัญญาค้ำประกันตามภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องหรือตามเอกสารหมาย จ.๒ ซึ่งปิดอากรแสตมป์ ๑ บาท จึงเป็นตราสารที่ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากร และใช้เป็นพยานหลักฐานได้ตามกฎหมายแล้วจำเลยต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
พิพากษายืน