แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การรวมกระทงลงโทษ เมื่อรวมโทษทุกกระทงเข้าด้วยกันแล้ว จะลงโทษเกินกว่าอัตราขั้นได้
การที่จำเลยเขียนชื่อและประทับตราชื่อห้างร้านที่ไม่มีตัวจริงแต่เป็นห้างร้านที่สมมุตขึ้นและใช้ชื่อและประทับตราที่สมมติขึ้นในการออกเช็คสั่งจ่ายหรือสลักหลังเช็คที่ไม่มีห้างร้านตัวจริง เป็นผิดฐานปลอมหนังสือทั้งฉบับ
เช็คเป็นใบสั่งให้จ่ายเงินตาม ก.ม.อาญา ม.225(4) และ ป.ม.อาญา ม.266(4) โดยอยู่ในลักษณะ 21 ป.พ.พ.
คำร้องขอแก้ฟ้องที่ศาลไม่ได้สอบถามคู่ความและมีคำสั่งอย่างไรนั้น ไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง แม้ศาลจะได้ส่งสำเนาให้คู่ความอีกฝ่ายก็ตาม และศาลย่อมชี้ขาดคดีนอกฟ้องตามคำร้องที่ไม่ได้สอบถามและมีคำสั่งประการใดนี้ ไม่ได้
ย่อยาว
คดี ๒ สำนวนนี้ได้ความว่า นายเซ้งหรือปรีชัย จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของห้างตั้งท่งฮวดหุ้นส่วนจำกัดซึ่งขายสินค้าต่าง ๆ จำเลยที่ ๑ เป็นพี่จำเลยที่ ๒ กับนายเลี้ยงหรือวีระอายุ ๑๗ ปี จำเลยที่ ๑ เป็นคนเดินตลาดของห้างนี้ หามีผู้ต้องการซื้อจำเลยที่ ๑ ก็ไปแจ้งแก่ผู้จัดการหรือผู้ช่วยผู้จัดการห้างให้ออกใบเบิกสินค้าเพื่อรับสินค้าของห้างนำไปมอบแก่ผู้ซื้อ ให้ผู้ซื้อลงนามในใบรับสิ่งของ(หรือใบผัดใช้เงิน) แล้วนำไปมอบแก่ห้างเพื่อจะได้เก็บเงินจากผู้ซื้อตามใบรับสิ่งของ เดิมห้างขายเงินสด จำเลยที่ ๑ แนะนำให้ขายสินค้าเงินเชื่ออ้างว่าลูกค้ามีหลักฐานดี เมื่อห้างยอมขายเชื่อ จำเลยที่ ๑ จึงเอาความเท็จมาแจ้งแก่ผู้จัดการหรือผู้ช่วยผู้จัดการว่า ห้างร้านชื่อนั้น ๆ ต้องการสินค้าอย่างนั้นอย่างนี้จำนวนเท่าใด โดยจำเลยที่ ๑ สมมุตชื่อขึ้น มีชื่อตรงกับห้างร้านที่ตั้งอยู่บ้าง เช่น บริษัทเฮงง้วน มีชื่อคล้ายคลึงหรือไม่คล้ายคลึงกับชื่อห้างร้านอื่นบ้าง ผู้จัดการหรือผู้ช่วยผู้จัดการหลงเชื่อออกใบเบิกสินค้าให้ จำเลยที่ ๑ หรือ จำเลยที่ ๒ ก็นำใบเบิกสินค้าไปเอาของที่คลังสินค้าของห้างหรือที่ท่าเรือคลองเตย โดยจำเลยผู้รับสินค้าไปได้ลงชื่อรับของให้ไว้แก่ผู้รักษาคลังสินค้าหรือผู้ทำงานติดต่อกับท่าเรือ ได้สินค้าแล้วก็เอาไปขาย โดยจำเลยที่ ๑ ทำใบรับส่งของหรือใบผัดใช้เงินขึ้นลงชื่อห้างร้านและประทับตราตามที่จำเลยที่ ๑ สมมุตขึ้นเป็นผู้รับของไว้ จำเลยที่ ๑ นำใบรับของมาให้ห้างบ้าง จำเลยที่ ๒ นำมาบ้าง เงินที่จำเลยขายสินค้าได้ ได้ฝากธนาคารไว้โดยใช้ชื่อต่าง ๆ กันรวมหลายธนาคาร เมื่อถึงกำหนดใช้เงินตามใบรับของ คนเก็บเงินไปเก็บเงินไม่พบร้านสมมุตไปถามจากจำเลยที่ ๑ ตอนต้น ๆ จำเลยที่ ๑ รับไปเก็บให้ ได้เป็นเงินสดบ้างหรือเช็คสั่งจ่ายหรือสลักหลังโดยชื่อสมมุตบ้าง นำมาให้คนเก็บเงิน บางครั้งจำเลยที่ ๒ ก็นำมามอบให้ คนเก็บเงินก็คืนใช้รับของรายนั้น ๆ ให้จำเลยไป จำเลยที่ ๑ ก็ทำลายเสีย เช็คที่ธนาคารส่งคืนขึ้นเงินไม่ได้คนเก็บเงินก็ติดต่อกับจำเลยที่ ๑ หลายครั้งเข้าคนเก็บเงินทราบความทุจริต จำเลยก็แบ่งผลประโยชน์ให้ ครั้งต่อมาการเก็บเงินฝืดมากขึ้น คนเก็บเงินได้บอกความจริงดังกล่าวแก่ผู้ช่วยผู้จัดการ ๆ บอกผู้จัดการเรียกจำเลยที่ ๑ ไปสอบถามพร้อมจำเลยที่ ๒ กับนายเลี้ยงหรือวีระ จำเลยที่ ๑ รับสารภาพและนำไปเอาดวงตรา ฯลฯ ที่ใช้ประทับชื่อห้างร้านและเซ็นสั่งจ่ายหรือสลักหลังเช็ค ผลการตรวจสอบบัญชีปรากฎว่า จำเลยที่ ๑ ได้กล่าวเท็จรับเอาของไปหลายครั้งหลายหนรวม ๑๔๗ รายการเป็นเงิน ๕,๙๐๖,๘๓๙ บาท ใบรับของที่จำเลยทำให้ยังเหลืออยู่อีก ๘๒ ฉบับรวมเงิน (ราคาสินค้า) ๓,๔๖๑,๘๔๕ บาท เช็คต่าง ๆที่จำเลยนำมาใช้ ๙๗ ฉบับรวมเงิน ๒,๔๔๑,๖๓๐ บาท ได้มีการร้องทุกข์สอบสวนเสร็จแล้วโจทก์แยกฟ้องจำเลยเป็น ๒ สำนวน ขอให้คืนหรือใช้ทุนทรัพย์คดีแรกเป็นเงิน ๔๕,๐๐๐ บาท แล้วโจทก์ร้องขอแก้เป็น ๑๔๖,๕๐๐ บาท คดีหลัง ๕,๙๐๖,๘๓๙ บ.
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยสมคบกันใช้อุบายหลอกหลวงผู้เสียหายเอาสินค้าไปจำหน่ายเป็นประโยชน์ส่วนตัว ส่วนข้อหาฐานปลอมหนังสือไม่ปรากฎว่าจำเลยปลอมดวงตราของบริษัทเฮงง้วนอย่างไร ห้างร้านยี่ห้ออื่นจำเลยก็สมมุตขึ้น พิพากษาว่าจำเลยผิดตาม ก.ม.อาญา มาตรา ๓๐๔,๖๓ รวมกระทงลงโทษจำคุกจำเลยที่หนึ่ง ๘ ปี จำเลยรับสารภาพ (เมื่อสืบพยานโจทก์ได้หนึ่งปากแล้ว) ลดตาม ม.๕๙ กึ่งหนึ่ง จำคุก ๔ ปี จำคุกจำเลยที่สอง ๔ ปี ให้ช่วยกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ตามคำขอท้ายฟ้องทั้งสองคดี
โจทก์ โจทก์ร่วม(ห้างตั้งท่งฮวดฯ โดยนายสิน พรประภา ผู้จัดการ) และจำเลยต่างอุทธรณ์ทุกฝ่าย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยสมคบกันทำผิดฐานฉ้อโกงตาม ม.๓๐๔ และ ๓๑๙ การที่จำเลยที่ ๑ สมมุตชื่อห้างร้านขึ้นแล้วนำใบรับสิ่งของ ออกเช็คสั่งจ่ายหรือสลักหลังเช็คที่ไม่มีตัวจริง เป็นผิดฐานปลอมหนังสือ การรวมกระทงลงโทษตาม ม.๓๐๔ มาตราคดีแรกไปรวมอยู่ในคดีหลัง ค่าเสียหายจริงเฉพาะคดีหลังเพียง ๕,๗๖๐,๓๓๙ บาท ค่าเสียหายคดีแรกโจทก์ขอเพียง ๔๕,๐๐๐ บาท แม้จะยื่นคำร้องขอแก้ ศาลส่งสำเนาให้จำเลย แต่ก็หาได้สอบถามหรือมีคำสั่งไม่ควรให้จำเลยใช้เพียง ๔๕,๐๐๐ บาท รวม ๒ คดีเป็นเงิน ๕,๘๐๕,๓๓๙ บาท
พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ ๑ ผิดตาม ก.ม.อาญา ม.๓๐๔,๒๒๕ เรียงกระทงจำคุกตาม ม.๓๐๔ – ๓ ปี ม.๒๒๕ – ๗ ปี รวม ๑๐ ปีลดตาม ม.๕๙ คงจำคุก ๕ ปี จำเลยที่ ๒ ผิด ม.๓๐๔ จำคุก ๓ ปี ให้ช่วยกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๕,๘๐๕,๓๓๙ บาท
อัยการโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตาม ม.๓๐๖(๔),๓๑๙
โจทก์ร่วมฎีกาว่าควรจะเรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ ๑ ให้มากกว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา++