คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2752/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์นำสืบถึงหนังสือมอบอำนาจซึ่งเป็นเอกสารที่โจทก์ได้กล่าวอ้างมาในคำฟ้องนั้น เป็นการนำสืบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงในประเด็นที่พิพาท เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์เป็นประเด็นไว้แล้ว แม้จะไม่ให้การปฏิเสธเอกสารดังกล่าวจะถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงในเอกสารนั้นหาได้ไม่จำเลยย่อมนำสืบหักล้างเอกสารดังกล่าวได้ เพราะเป็นการนำสืบโต้เถียงในประเด็นเดียวกัน หาใช่เป็นการนำสืบนอกเหนือคำให้การไม่และกรณีนี้ก็มิใช่เรื่องการคัดค้านการนำเอกสารมาสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 36043 เลขที่ดิน6162 เนื้อที่ประมาณ 51 ตารางวา และปลูกสร้างบ้านเลขที่ 419/422บนที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยอยู่อาศัย และให้จำเลยใส่ชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินแทนโจทก์ ต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยโอนชื่อในโฉนดที่ดินกลับคืนเป็นชื่อโจทก์ จำเลยได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ไปดำเนินการจดทะเบียนเอง แต่หนังสือมอบอำนาจทำไม่ถูกต้องโจทก์จึงแจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนอีกครั้ง แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดดังกล่าวเป็นชื่อโจทก์ หากจำเลยไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากบ้านเลขที่ 419/422ของโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายวันละ 200 บาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ใช้อุบายหลอกลวงให้จำเลยเป็นภรรยาของโจทก์ โจทก์ซื้อบ้านและที่ดินตามฟ้องให้จำเลยโดยเสน่หาจำเลยจึงไม่มีความผูกพันที่จะต้องคืนบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ เมื่อประมาณปี 2524 โจทก์ลักเอาโฉนดที่ดินตามฟ้องของจำเลยไป ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินให้แก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เพียงแต่ใส่ชื่อจำเลยแทนโจทก์โดยโจทก์ เป็นผู้ยึดถือโฉนดที่ดินที่พิพาทไว้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทคืนให้แก่จำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไม่มีสิทธินำสืบคัดค้านเอกสารหมาย จ.18 เนื่องจากจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธเอกสารฉบับนี้ซึ่งโจทก์ได้กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้องจึงถือว่าจำเลยยอมรับเอกสารฉบับนี้ ทั้งการนำสืบคัดค้านเอกสารฉบับนี้เป็นการนำสืบนอกเหนือคำให้การและขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125นั้น เห็นว่าการที่โจทก์นำสืบถึงหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.18เป็นการนำสืบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงในประเด็นที่พิพาท เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์เป็นประเด็นไว้แล้วแม้จะไม่ให้การปฏิเสธเอกสารหมาย จ.18 ก็จะถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงในเอกสารนั้นหาได้ไม่ จำเลยย่อมนำสืบหักล้างเอกสารดังกล่าวได้เพราะเป็นการนำสืบโต้เถียงในประเด็นเดียวกัน หาใช่เป็นการนำสืบนอกเหนือคำให้การไม่ และกรณีก็มิใช่เรื่องการคัดค้านการนำเอกสารมาสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์อ้างเป็นหลักกฎหมายคนละเรื่องกับคดีนี้ส่วนที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า ถ้าโจทก์ได้เสียกับจำเลยแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยจะไม่ตั้งครรภ์ และจำเลยจะต้องรบเร้าให้โจทก์ไปสู่ขอจากมารดาตามประเพณีนั้นเห็นว่า ไม่ใช่เหตุผลอันควรรับฟังพยานหลักฐานฝ่ายจำเลยมีเหตุผลและน้ำหนักดีกว่าฝ่ายโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มีความสัมพันธ์และได้เสียกับจำเลยฐานชู้สาวโจทก์เป็นคนสูงอายุประสงค์จะผูกมัดจำเลยจึงได้ออกเงินซื้อที่ดินพิพาทและว่าจ้างผู้รับเหมาปลูกสร้างบ้านบนที่ดินพิพาทให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยเป็นสิทธิขาดแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืนจากจำเลยได้ ประเด็นเรื่องค่าเสียหายของโจทก์จึงไม่จำต้องวินิจฉัยที่โจทก์ฎีกาว่าศาลต้องวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาททุกประเด็นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 นั้น เห็นว่าเมื่อโจทก์แพ้คดีในประเด็นข้อสำคัญแล้ว ประเด็นอื่นที่ไม่เป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ก็ไม่จำต้องได้รับการวินิจฉัยจากศาลอีก ศาลจึงไม่จำต้องวินิจฉัยคดีทุกประเด็นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share