แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดิน 2 แปลงมีเนื้อที่รวมกัน 106 ไร่ 2 งาน 48 ตารางวา เมื่อจำเลยจัดการออกโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงแล้วได้เนื้อที่ดิน 111 ไร่ 82 ตารางวา เนื้อที่ดินล้ำจำนวนตามที่ระบุไว้ในสัญญา 4 ไร่ 2 งาน 34 ตารางวา ไม่เกินร้อยละ 5 แห่งเนื้อที่ทั้งหมดที่ระบุไว้ในสัญญา โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อจำต้องรับเอาไว้และใช้ราคาตามส่วน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 466 วรรคสอง
ในวันทำสัญญาโจทก์วางมัดจำไว้ 100,000 บาท เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยมีสิทธิริบเงินมัดจำนั้นส่วนจำนวนเงิน300,000 บาท เป็นเงินที่โจทก์แบ่งชำระราคาที่ดินให้จำเลยเมื่อไม่มีการซื้อขายกัน จำเลยต้องคืนให้โจทก์ เมื่อจำเลยผิดนัดไม่คืนให้แก่โจทก์จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงทำสัญญาจะขายที่ดินตราจอง เนื้อที่ประมาณ ๙๘ ไร่ ๒ งาน ๔ ตารางวา และที่ดินที่มีการครอบครอง เนื้อที่ประมาณ ๘ ไร่ โจทก์ได้วางเงินมัดจำในวันทำสัญญา ๑๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาโจทก์ได้ชำระเงินค่าที่ดินงวดที่สอง ๓๐๐,๐๐๐ บาท แก่จำเลย ต่อมาจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องคืนเงินค่าที่ดิน ๔๐๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวนดังกล่าวและค่าเสียหายเท่าดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงได้ริบเงินมัดจำขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า การที่จำเลยนำที่ดินมาเพิ่มเพื่อให้ที่ดินด้านที่ติดถนนมีความยาว ๘ เส้น เป็นการปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาที่ทำไว้แก่โจทก์ ที่ดินที่นำมาเพิ่มจึงเป็นที่ดินตามสัญญา จำเลยมิใช่เป็นฝ่ายผิดสัญญาแล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ตามสัญญาจะซื้อขายเนื้อที่ดิน ๒ แปลงรวมกันได้ ๑๐๖ ไร่ ๒ งาน ๔๘ ตารางวา เมื่อจำเลยจัดการออกโฉนดทั้งสองฉบับแล้วได้เนื้อที่ดิน ๑๑๑ ไร่ ๘๒ ตารางวา เนื้อที่ดินล้ำจำนวนตามที่ประมาณไว้ในสัญญา ๔ ไร่ ๒ งาน ๓๔ ตารางวา ไม่เกินร้อยละ ๕ แห่งเนื้อที่ทั้งหมดอันได้ระบุไว้ในสัญญาโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้ซื้อจำต้องรับเอาและใช้ราคาตามส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๖๖ วรรคสอง การที่โจทก์ทั้งสองไม่ยอมซื้อที่ดินตามสัญญาที่ทำไว้แก่จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา
สัญญามีข้อความว่า ผู้จะซื้อได้วางเงินมัดจำให้ไว้แก่ผู้จะขายเป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือจะแบ่งชำระให้แก่ผู้จะขายอีก ๓๐๐,๐๐๐ บาทภายใน ๓ เดือนนับแต่วันทำสัญญา ส่วนที่เหลือทั้งหมดจะชำระให้ในวันจดทะเบียนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ผู้จะซื้อ ศาลฎีกาเห็นว่า เงินมัดจำตามสัญญามีเพียง ๑๐๐,๐๐๐ บาท ที่โจทก์ทั้งสองชำระให้แก่จำเลยในวันทำสัญญาเท่านั้น จำนวนเงินอีก ๓๐๐,๐๐๐ บาท ที่โจทก์ทั้งสองชำระให้แก่จำเลยในระยะต่อมาอีก ๓ เดือนนับแต่วันทำสัญญานั้น เป็นเงินที่แบ่งชำระราคาค่าที่ดิน ดังนี้เมื่อโจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงมีสิทธิริบเงินมัดจำ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนเงินอีก ๓๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อไม่มีการซื้อขายกันแล้ว จำเลยต้องคืนให้แก่โจทก์ จำเลยไม่ยอมคืนให้แก่โจทก์ ถือได้ว่าจำเลยผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๒๐๔ ซึ่งจำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามมาตรา ๒๒๔ นับแต่วันผิดนัด
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงินจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ทั้งสองพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี