คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 271-272/2485

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภริยามีชื่อในโฉนดแต่ผู้เดียวแสดงว่าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เท่านั้น จะถือว่าที่ดินนั้นเป็นสินส่วนตัวไม่ได้ เพราะอาจเป็นสินเดิมหรือสินสมรส จึงต้องถือเป็นสินบริคณห์.กรณีถือว่าโจทก์ให้การรับว่าผู้ร้องเป็นสามีจำเลย.

ย่อยาว

ผู้ร้องต่างเป็นสามีจำเลยซึ่งถูกยึดทรัพย์ อ้างว่ามิได้รู้เห็นยินยอมอนุญาตการที่จำเลยกู้เงินโจทก์ และได้บอกล้างนิติกรรมรายนี้ไปให้โจทก์ทราบแล้ว ที่นาที่โจทก์นำยึดนี้เป็นสินบริคณห์ระหว่างผู้ร้องกับจำเลยโจทก์จึงไม่มีสิทธิยึด ศาลชั้นต้นพิจารณาเห็นว่าที่นานี้มีชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์ กฏหมายสันนิษฐานว่าเป็นของจำเลย และเป็นทรัพย์ส่วนตัวของจำเลย ผู้ร้องอ้างว่าเป็นสินบริคณห์จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบ แต่ผู้ร้องก็มิได้นำสืบ จึงสั่งยกคำร้อง.
ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีได้ความว่าผู้ร้องเป็นสามีจำเลยจริง การที่จำเลยมีชื่อในโฉนดฝ่ายเดียวยังไม่พอถือว่าเป็นสินส่วนตัว อาจเป็นสินเดิมหรือสินสมรสได้ ที่นาที่โจทก์ยึดจึงเป็นสินบริคณห์ระหว่างผู้ร้องกับจำเลย นิติกรรมรายนี้ผู้ร้องมิได้ยินยอมอนุญาตและได้บอกล้างแล้ว จึงพิพากษากลับศาลชั้นต้นให้ถอนการยึดที่นารายนี้.
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำให้การของโจทก์แสดงว่าได้รับรองโดยปริยายว่าจำเลยเป็นภริยาผู้ร้อง และข้อเท็จจริงต่างๆในสำนวนก็เป็นอันฟังได้ว่าผู้ร้องต่างเป็นสามีจำเลย มีปัญหาต่อไปแต่เพียงว่าที่นารายนี้เป็นสินส่วนตัวของจำเลยหรือเป็นสินบริคณห์ระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยมีชื่อในโฉนดฝ่ายเดียวก็เป็นแต่หลักฐานว่าจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ+อาจสันนิษฐานไปจนถึงว่าเป็นสินส่วนตัวด้วยไม่ เพราะเรื่องนี้มีกฏหมายบัญญัติไว้โดยฉะเพาะ ถ้ามีได้แยกไว้เป็นสินส่วนตัวแล้ว ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา ต้องถือว่าเป็นสินบริคณห์ เมื่อโจทก์ยืนยันว่าที่นาพิพาทเป็นสินบริคณห์ เมื่อโจทก์ยืนยันว่าที่พิพาทเป็นสินส่วนตัวของจำเลย ก็มีหน้าที่ต้องนำสืบให้สม แต่ก็มิได้นำสืบ และที่อ้างว่าผู้ร้องรู้เห็นยินยอมในนิติกรรมกู้หนี้รายนี้ โจทก์ก็มิได้นำสืบ จึงต้องฟังว่านิติกรรมนี้ได้กระทำโดยมิได้รับอนุญาตจากสามี ไม่เป็นการผูกพันสินบริคณห์ โจทก์ไม่มีสิทธิยึดนารายนี้มาขายทอดตลาดได้ จึงพิพากษายืน

Share