คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2705/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานสอดคล้องกับคำเบิกความของพยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่ผู้เสียหายมาแจ้งเหตุหลังเกิดเหตุแทบทันทีระบุชื่อจำเลยเป็นคนร้ายผู้เสียหายร้องทุกข์ในคืนเกิดเหตุและให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันรุ่งขึ้นทั้งออกติดตามพบทรัพย์ที่ถูกคนร้ายลักไปและรถจักรยานยนต์ที่อ้างว่าจำเลยขับไปลักทรัพย์ผู้เสียหายน่าเชื่อว่าผู้เสียหายให้การชั้นสอบสวนตามความจริงที่ได้รู้เห็นมาโดยปราศจากเหตุจูงใจการที่ผู้เสียหายมาเบิกความชั้นศาลโดยพยายามบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงให้สับสนว่าจำเลยไม่ใช่คนร้ายรายนั้นคงเพื่อช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิดเชื่อได้ว่าคำให้การของผู้เสียหายเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความชั้นศาลทั้งคำให้การของผู้เสียหายชั้นสอบสวนก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไม่ให้รับฟังประกอบเป็นข้อพิจารณาของศาลเมื่อรับฟังประกอบพยานอื่นตลอดจนพฤติการณ์แห่งคดีแล้วฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้อง การที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะเพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์การลักทรัพย์สำเร็จตั้งแต่เอาทรัพย์เคลื่อนที่ออกจากบริเวณบ้านผู้เสียหายการขับรถจักรยานยนต์มาลักทรัพย์แล้วพาทรัพย์หนีไปรถจักรยานยนต์มิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดฐานลักทรัพย์จึงไม่ริบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันบุกรุกเข้าไปภายในเคหสถานที่อยู่อาศัยของนาย น้อมชิตรผู้เสียหายแล้วร่วมกันลักยางพารา39แผ่นราคา900บาทของผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้มีอาชีพกสิกรรมโดยทุจริตโดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อพาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นจากการจับกุมขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา33,83,335,336ทวิ,364,365ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา335(1)(7)(8)(12)วรรคสาม,336ทวิและมีความผิดตามมาตรา365(ที่ถูกมาตรา365(2)(3))ประกอบมาตรา364,33,83การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา335(1)(7)(8)(12)วรรคสาม,336ทวิซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดจำคุก1ปี6เดือนริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษากลับให้ยกฟ้องคืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า”ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่เห็นว่าผู้เสียหายเบิกความในชั้นพิจารณากับในชั้นสอบสวนเกี่ยวกับตัวคนร้ายแตกต่างกันในชั้นพิจารณาผู้เสียหายเบิกความว่าได้แอบดูคนร้ายแต่ไม่เห็นเนื่องจากมืดและเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่าไม่ได้บอกชื่อจำเลยให้นาย โยทรงศรี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านทราบแต่ตอนหลังกลับเบิกความว่าได้แจ้งความระบุชื่อจำเลยกับพวกอีก2คนเป็นคนร้ายแสดงว่าคืนเกิดเหตุผู้เสียหายต้องเห็นคนร้ายเพราะผู้เสียหายเบิกความว่าบ้านผู้เสียหายหันหน้าไปทางทิศตะวันออกทางด้านทิศใต้ของบ้านห่างจากบ้านประมาณ15เมตรเป็นถนนสายเอเซียทอดไปทางทิศตะวันออกมุ่งหน้าไปทางอำเภอ ทุ่งสง จากถนนสาย เอเซียมีทางเชื่อมเข้าบ้านผู้เสียหายทอดสายตามองคนร้ายขับรถจักรยานยนต์ไปได้ประมาณ1กิโลเมตรแล้วเลี้ยวขวาจากถนนสาย เอเซียจนลับสายตาคืนเกิดเหตุหลังจากพบยางพาราแผ่น39แผ่นของกลางแล้วผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อร้อยตำรวจเอก ไกรยุทธเยาว์ดำพนักงานสอบสวนทันทีตามคำร้องทุกข์เอกสารหมายจ.4ซึ่งมีใจความว่าเมื่อผู้เสียหายได้ยินเสียงดังในห้องครัวจึงเปิดหน้าต่างดูพบนาย เกียบหรือทิ้ง (จำเลย)กำลังแบกยางพาราแผ่นออกไปทางหลังบ้านบรรทุกรถจักรยานยนต์ขับออกไปโดยมีชาย2คนออกมาทางเดียวกันและในวันรุ่งขึ้นผู้เสียหายให้การต่อร้อยตำรวจเอก ไกรยุทธพนักงานสอบสวนตามเอกสารหมายจ.5ระบุอย่างชัดเจนว่าคืนเกิดเหตุเวลาประมาณ23นาฬิกาผู้เสียหายกำลังนอนหลับได้ตกใจตื่นจากเสียงดังโครมครามและของตกลงในห้องครัวผู้เสียหายจึงขึ้นไปชั้นบนบ้านเปิดหน้าต่างด้านทิศใต้และทิศตะวันออกเห็นนาย เกียบหรือทิ้งทรงศรี (จำเลย)ซึ่งผู้เสียหายรู้จักมาก่อนและมีบ้านอยู่ห่างจากบ้านผู้เสียหายประมาณ2กิโลเมตรแบกยางพาราแผ่นจากหลังบ้านเดินอ้อมไปทางทิศตะวันออกมาทางถนนสาย เอเซียไปบรรทุกรถจักรยานยนต์ซึ่งจอดอยู่ริมถนนแล้วติดเครื่องยนต์ขับออกไปทั้งนี้โดยอาศัยแสงสว่างจากดวงจันทร์ทั้งได้ระบุรายละเอียดรูปพรรณของจำเลยกับพวกอีก2คนด้วยเห็นว่าเวลาเกิดเหตุดวงจันทร์ขึ้นจากพื้นพิภพนานแล้วขณะที่คนร้ายแบกยางพาราแผ่นออกมาจากบ้านผู้เสียหายซึ่งเป็นที่โล่งผู้เสียหายมีโอกาสเห็นคนร้ายได้โดยเฉพาะคนที่รู้จักกันย่อมจำได้ว่าเป็นใครนาย โยพยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความยืนยันว่าคืนเกิดเหตุเวลาประมาณ23นาฬิกาผู้เสียหายมาแจ้งความระบุชื่อจำเลยกับพวกอีก2คนลักยางพาราแผ่นจำนวนหนึ่งไปจากบ้านจำเลยเป็นหลานนาย โย ถ้าหากผู้เสียหายมาแจ้งความไม่ได้ระบุชื่อจำเลยเป็นคนร้ายก็ไม่มีเหตุที่นาย โยจะต้องเบิกความใส่ร้ายจำเลยซึ่งเป็นหลานของตนนอกจากนี้การที่ผู้เสียหายพร้อมด้วยนาย โยและเจ้าพนักงานตำรวจหน่วยเฉพาะกิจตำบล ควนลำพูติดตามคนร้ายจนไปพบยางพาราแผ่นและรถจักรยานยนต์ของกลางแสดงว่าผู้เสียหายเป็นผู้นำทางไปโดยมีเป้าหมายที่บ้านจำเลยทั้งโจทก์นำสืบให้เห็นว่าคืนเกิดเหตุระหว่างเวลา21ถึง22นาฬิกามีฝนตกแต่ไม่หนักปรากฎว่ากองยางพาราแผ่นที่ซุกซ่อนอยู่ในป่าหญ้าคามีรอยล้อรถจักรยานยนต์ไปสิ้นสุดที่บ้านนาง อาภรณ์พี่สาวจำเลยจึงไปพบรถจักรยานยนต์ของกลางซึ่งผู้เสียหายยืนยันว่าเป็นรถจักรยานยนต์ของคนร้ายโดยอาศัยแสงสว่างจากไฟหน้าและท้ายรถจักรยานยนต์ของคนร้ายนาย โยเบิกความประกอบว่าที่ตะแกรงหน้ารถจักรยานยนต์มีใบหญ้าคาทั้งสดและแห้งติดอยู่พยานได้เรียกนาง อาภรณ์ออกจากบ้านเมื่อนาง อาภรณ์ได้เปิดประตูแล้วนาง อาภรณ์บอกว่าจำเลยเพิ่งขับรถเข้ามาก่อนหน้านี้ไม่เกิน1ชั่วโมงจำเลยออกมาจากบ้านมาพบรับว่าได้ลักยางพาราแผ่นจริงแต่จำเลยได้ฉวยโอกาสหลบหนีไปในความมืดข้อนำสืบของโจทก์ในข้อนี้จำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งว่าไม่เป็นความจริงที่จำเลยเบิกความว่าเคยมีเรื่องกับนาย โยเกี่ยวกับเคยร่วมวงดื่มสุราในงานแต่งงานบ้านพี่สาวนาย โยจำเลยทำแก้วสุราหล่นนาย โยไม่พอใจและกล่าวอาฆาตไม่ให้จำเลยอยู่ในบ้านเห็นว่าความข้อนี้จำเลยมิได้ถามค้านนาย โยไว้ให้ปรากฎแต่ถ้าหากเป็นความจริงนาย โยเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและสูงอายุแล้วไม่น่าจะเอาเหตุเล็กน้อยเพียงเท่านี้มาปรักปรำใส่ร้ายจำเลยซึ่งเป็นหลานของตนเองให้ต้องรับโทษทางอาญาซึ่งทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่นาย โยซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ด้วยส่วนรถจักรยานยนต์ของกลางที่เจ้าพนักงานตำรวจได้ยึดไว้เป็นของกลางถ้าหากมิใช่รถจักรยานยนต์ที่จำเลยใช้เป็นยานพาหนะในคืนเกิดเหตุจำเลยน่าจะขวนขวายร้องต่อเจ้าพนักงานตำรวจหรือศาลเพื่อขอคืนแต่จำเลยหาได้กระทำไม่ที่จำเลยนำสืบว่าระหว่างเกิดเหตุจำเลยไปอยู่ที่กรุงเทพมหานครจำเลยกลับมาบ้านในปี2536ก็ถูกจับนั้นอาจเป็นว่าเหตุที่เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้หลังเกิดเหตุนานหลายปีน่าเชื่อว่าจำเลยหลบหนีเพราะตามบันทึกการจับกุมจำเลยตามเอกสารหมายจ.7ระบุว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้ออกหมายจับตามคดีที่292/31แสดงว่าหมายจับได้ออกมาตั้งแต่ปี2531แล้วศาลฎีกาเห็นว่าคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานโจทก์สอดคล้องกับคำเบิกความของนาย โยซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่ผู้เสียหายมาแจ้งเหตุหลังเกิดเหตุแทบทันทีระบุชื่อจำเลยเป็นคนร้ายผู้เสียหายร้องทุกข์ในคืนเกิดเหตุและให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันรุ่งขึ้นจากวันเกิดเหตุทั้งออกติดตามไปพบยางพาราแผ่นของผู้เสียหายและรถจักรยานยนต์ที่อ้างว่าจำเลยเป็นคนขับไปลักทรัพย์ในบริเวณบ้านผู้เสียหายน่าเชื่อว่าผู้เสียหายให้การชั้นสอบสวนตามความจริงตามที่ได้รู้เห็นมาโดยปราศจากเหตุจูงใจพนักงานสอบสวนจึงได้บันทึกและให้ผู้เสียหายลงชื่อไว้เป็นหลักฐานการที่ผู้เสียหายมาเบิกความในชั้นพิจารณาโดยพยายามบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงให้สับสนว่าจำเลยไม่ใช่คนร้ายรายนี้คงเพื่อช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิดเพราะได้ยางพาราแผ่นของกลางคืนมาแล้วเชื่อได้ว่าคำให้การของผู้เสียหายชั้นสอบสวนเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความชั้นศาลทั้งคำให้การของผู้เสียหายชั้นสอบสวนก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไม่ให้รับฟังประกอบเป็นข้อพิจารณาของศาลเมื่อรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นตลอดจนพฤติการณ์แห่งคดีแล้วพยานหลักฐานโจทก์จึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำผิดตามฟ้องพยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่สามารถรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้นแต่การที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะเพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์ความผิดฐานบุกรุกเข้าไปลักทรัพย์ในบริเวณบ้านผู้เสียหายการกระทำของจำเลยเป็นการลักทรัพย์สำเร็จตั้งแต่เอาทรัพย์เคลื่อนที่ออกจากบริเวณบ้านผู้เสียหายการขับรถจักรยานยนต์มาลักทรัพย์แล้วพาทรัพย์หลบหนีไปรถจักรยานยนต์ของกลางมิใช่เป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์จึงมิใช่ทรัพย์สินอันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา33(1)”
พิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่รถจักรยานยนต์ของกลางให้คืนเจ้าของ

Share