แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า โจทก์ไปขอรับเงินตามตั๋วแลกเงินที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสาขาของธนาคารจำเลยที่ 1 ออกให้โจทก์จากสาขาธนาคารของจำเลยที่ 1 อีกแห่งหนึ่งไม่ได้ เพราะเลขรหัสตามตั๋วแลกเงินมีการผิดพลาด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายดังนี้ เห็นได้ว่ามูลเหตุที่ทำให้โจทก์มาฟ้องนั้นก็โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาอันพึงมีต่อกันตามตั๋วแลกเงินที่จำเลยที่ 2 ออก ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ จึงต้องใช้อายุความทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อดราฟต์ (ตั๋วแลกเงิน) ส่งเงินจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท จากจำเลยที่ ๒ โดยสั่งจ่ายที่ธนาคารเกษตร สาขาพิษณุโลก อันเป็นสาขาจำเลยที่ ๑ โจทก์นำดราฟต์ไปขึ้นเงินที่ธนาคารเกษตร ปรากฏว่ารหัสเลขเปลี่ยนของดราฟต์ฉบับนั้นผิด อันเนื่องจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ธนาคารเกษตรสาขาพิษณุโลกจึงไม่ยอมจ่ายเงินให้ โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะวันนั้นเป็นวันครบกำหนดที่โจทก์ต้องชำระราคาและรับมอบไม้ไผ่ป่าตามที่โจทก์ทำสัญญาซื้อขายไว้กับนายสมบูรณ์ โจทก์ไม่มีเงินไปชำระ ต้องถูกนายสมบูรณ์ริบเงินมัดจำ ต้องหาซื้อไม้ไผ่รายอื่นซึ่งมีราคาแพงขึ้น จำเลยยอมจ่ายให้เพียงเฉพาะเงินค่าดราฟต์ ๑๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๒๗,๑๔๗ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การรับว่าเป็นความผิดของจำเลยที่ ๒ ผู้เดียว คดีโจทก์ขาดอายุความ ฯลฯ
ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยาน เห็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเรื่องอาศัยสิทธิในสัญญาอันเกี่ยวกับดราฟต์หรือตั๋วแลกเงิน ไม่ใช่อาศัยมูลหนี้จากการละเมิด จึงต้องใช้อายุความทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ คดีไม่ขาดอายุความพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ชั้นฎีกา ธนาคารกรุงไทย โดยนายจตุภัทรกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้รับมอบอำนาจยื่นคำร้องว่า ธนาคารเกษตรจำกัดและธนาคารมณฑลได้จดทะเบียนควบกิจการเข้าด้วยกัน ใช้ชื่อใหม่ว่าธนาคารกรุงไทย จำกัด ธนาคารกรุงไทยขอเข้าสวมสิทธิดำเนินคดีต่อไป และมอบอำนาจให้นายสวัสดิ์ผู้จัดการธนาคารกรุงไทยจำกัด สาขาอุทัยธานีมีอำนาจดำเนินคดีต่อไป ศาลฎีกาอนุญาต
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องของโจทก์ที่บรรยายไว้นั้นเป็นเรื่องที่ว่าโจทก์ไปขอรับเงินตามตั๋วแลกเงินที่จำเลยที่ ๒ ออกให้โจทก์จากธนาคารกรุงไทยจำกัด สาขาพิษณุโลก (ธนาคารเกษตร จำกัด สาขาพิษณุโลกเดิม) ไม่ได้เพราะเลขรหัสตามตั๋วแลกเงินมีการผิดพลาด โจทก์จึงมาฟ้องอ้างเหตุว่าทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายตามที่ฟ้อง ซึ่งเห็นได้ว่ามูลเหตุที่ทำให้โจทก์นำมาฟ้องนั้นก็โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาอันพึงมีต่อกันตามตั๋วแลกเงินที่จำเลยที่ ๒ ออกเลขรหัสผิด ทำให้โจทก์รับเงินไม่ได้ในวันนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ตามท้ายฟ้องของโจทก์นั้นเองก็กล่าวว่า จำเลยทั้งสามไม่ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นการผิดสัญญา ไม่จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินเกิดการเสียหายดังกล่าวขึ้น จึงต้องฟ้อง ฟ้องโจทก์จึงเป็นเรื่องที่อาศัยสิทธิตามสัญญาของตั๋วแลกเงิน ไม่ใช่อาศัยมูลหนี้เรื่องละเมิด ฉะนั้น จึงต้องใช้อายุความทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ ซึ่งมีกำหนด ๑๐ ปี เป็นบทบังคับคดี ไม่ใช่อายุความเรื่องละเมิดตามมาตรา ๔๔๘ ที่มีกำหนด ๑ ปี
พิพากษายืน