แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยบังคับจับมือเด็กหญิงให้จับของลับของจำเลยและจับมือให้รูดไปมาจนน้ำอสุจิของจำเลยไหล เห็นได้ว่าตัวของเด็กหญิงได้เข้าเกี่ยวข้องในการกระทำอนาจารนั้นด้วยจึงถือได้ว่าจำเลยได้กระทำอนาจารแก่เด็กหญิงนั้น
จำเลยเป็นครูสอนเด็กหญิงและเป็นครูใหญ่ด้วย เด็กหญิงมาเรียนหนังสือในตอนเช้าตามปกติและกลับบ้านเมื่อเลิกเรียนแล้วการควบคุมดูแลปกป้องเด็กหญิงนั้นย่อมอยู่กับจำเลยตลอดระยะเวลาที่โรงเรียนเปิดทำการสอนอยู่ตามปกติ เมื่อจำเลยกระทำอนาจารแก่เด็กหญิงนั้นในระหว่างที่โรงเรียนเปิดทำการสอนอยู่ตามปกติย่อมถือได้ว่าจำเลยได้กระทำแก่ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแลตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285
จำเลยกระทำอนาจารแก่เด็กหญิงสามคนในสถานที่แห่งเดียวกันและในเวลาต่อเนื่องใกล้ชิดกัน แต่เป็นการกระทำต่อ เด็กหญิงครั้งละหนึ่งคน จึงเป็นความผิดหลายกระทงแต่ละกระทงมีโทษหนักเท่ากันเมื่อศาลเห็นสมควรจะลงโทษจำเลยแต่เพียงกระทงเดียวก็ได้
ย่อยาว
คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษารวมกัน โดยโจทก์ฟ้องมีใจความว่า จำเลยมีตำแหน่งเป็นครูใหญ่โรงเรียนประชาบูรณะวิทยาและมีหน้าที่สอนนักเรียนชั้นประถมปีที่ ๓ และปีที่ ๔ จำเลยได้กระทำอนาจารแก่เด็กหญิงศิริมณฑล เด็กหญิงลำใยและเด็กหญิงมยุรี ซึ่งแต่ละคนมีอายุ๑๑ ปี และเป็นนักเรียนโรงเรียนประชาบูรณะวิทยาและเป็นศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแลของจำเลย โดยจำเลยจับมือของเด็กหญิงดังกล่าวครั้งละ ๑ คนดึงไปจับของลับ (ลึงค์) ของจำเลย แล้วบังคับให้เด็กหญิงเหล่านั้นจับของลับของจำเลยรูดไปมาจนน้ำอสุจิของจำเลยไหล ทั้งนี้ โดยเด็กหญิงทั้งสามคนนั้นไม่อาจขัดขืนได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๙, ๒๘๕และนับโทษต่อกัน
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๙ วรรค ๒, ๒๘๕ จำคุกสำนวนละ ๑ ปี ๖ เดือน และให้นับโทษต่อกัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่าจำเลยได้กระทำผิด พิพากษายกฟ้องทั้งสามสำนวน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยบังคับและจับมือของเด็กหญิงแต่ละคนให้จับของลับของจำเลยรูดไปมาจนน้ำอสุจิของจำเลยไหล แล้ววินิจฉัยว่าการที่จำเลยบังคับจับมือเด็กหญิงทั้งสามคนดังกล่าวให้จับของลับของจำเลยและจับมือให้รูดไปมาจนน้ำอสุจิของจำเลยไหล เห็นได้ว่าตัวของเด็กหญิงดังกล่าวได้เข้าเกี่ยวข้องในการกระทำอนาจารนั้นด้วย จึงถือได้ว่าจำเลยได้กระทำอนาจารแก่เด็กหญิงทั้งสามคนนั้น ส่วนการกระทำของจำเลยจะถือว่าเป็นการกระทำแก่ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแลอันจะทำให้จำเลยต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๕ หรือไม่เห็นว่า นอกจากเป็นครูสอนเด็กหญิงทั้งสามแล้ว จำเลยยังเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนนี้ด้วย แม้เด็กหญิงทั้งสามคนมาเรียนในตอนเช้าตามปกติและเมื่อเลิกเรียนแล้วเด็กหญิงทั้งสามคนกลับบ้านก็ตาม ก็เห็นได้ว่าการควบคุมดูแลปกป้องเด็กหญิงทั้งสามคนนั้นได้อยู่กับจำเลยตลอดระยะเวลาที่โรงเรียนได้เปิดทำการสอนอยู่ตามปกติเมื่อจำเลยได้กระทำอนาจารแก่เด็กหญิงทั้งสามคนในระหว่างที่โรงเรียนได้เปิดทำการสอนอยู่ตามปกติ ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้กระทำแก่ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแลตามความหมายของมาตรา ๒๘๕ ดังกล่าวแล้ว จำเลยจึงมีความผิดดังฟ้องโจทก์การที่จำเลยกระทำอนาจารแก่เด็กหญิงทั้งสามคน แม้จะได้กระทำในสถานที่แห่งเดียวกัน และในเวลาต่อเนื่องใกล้ชิดกัน แต่ก็เป็นการกระทำต่อเด็กหญิงครั้งละหนึ่งคน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกระทง แต่ความผิดของจำเลยแต่ละกระทงมีโทษเท่ากัน เมื่อพิจารณาถึงการกระทำของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแล้ว เห็นสมควรลงโทษจำเลยเพียงกระทงเดียว ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๘๖/๒๕๑๕
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๙ วรรค ๒, ๒๘๕