แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยกับพวกร่วมกันนำและพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร ย่อมเป็นความผิดสำเร็จอยู่ในตัวเมื่อนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว ต่อมาเมื่อจำเลยกับพวกร่วมกันช่วยซ่อนเร้นคนต่างด้าวดังกล่าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุมย่อมเป็นความผิดอีกกระทงหนึ่ง สามารถแยกการกระทำต่างหากจากกันได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 4, 11, 63, 64 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 4, 11, 63, 64 (ที่ถูกมาตรา 63 วรรคหนึ่ง, 64 วรรคหนึ่ง) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร จำคุก 3 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันซ่อนเร้นคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จำคุก 1 ปี 4 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 10 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 5 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานร่วมกันพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร จำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันช่วยซ่อนเร้นคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 3 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาสรุปได้ว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกแต่ละคนมีรถยนต์กระบะใช้บรรทุกคนต่างด้าวแต่ละจำนวน ไม่ปรากฏว่าจำเลยกับพวกรู้เห็นเป็นใจซึ่งกันและกัน และเป็นไปในลักษณะร่วมกันกระทำความผิด เป็นทำนองว่าจำเลยกับพวกมิได้ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องนั้น เห็นว่า ในชั้นอุทธรณ์จำเลยได้ยกข้อเท็จจริงทำนองดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัย จำเลยก็ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ได้วินิจฉัยนั้นไม่ชอบแต่อย่างใด แต่จำเลยกลับยกข้อเท็จจริงทำนองเดียวกับที่เคยยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์ภาค 2 ขึ้นฎีกาซ้ำอีก ถือได้ว่าข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นฎีกาดังกล่าวข้างต้นเป็นข้อเท็จจริงที่เพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกา และถือไม่ได้ว่าฎีกาดังกล่าวเป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ทั้งมิได้เป็นข้อความที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ตัดสินไว้ จึงไม่อาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ได้ ที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวมาเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลย
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกมีว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน เห็นว่า การที่จำเลยกับพวกร่วมกันนำและพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรย่อมเป็นความผิดสำเร็จอยู่ในตัวเมื่อนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว ต่อมาเมื่อจำเลยกับพวกร่วมกันช่วยซ่อนเร้นคนต่างด้าวดังกล่าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุมย่อมเป็นความผิดอีกกระทงหนึ่ง สามารถแยกการกระทำต่างหากจากกันได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เรียงกระทงลงโทษจำเลยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษจำคุกนั้น เห็นว่า คนต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมายและปราศจากการควบคุมของรัฐนั้น สร้างปัญหาแก่ประเทศชาติทั้งทางตรงและทางอ้อมหลายประการ เช่น ปัญหาทางด้านความมั่นคง ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาสาธารณสุข ตลอดจนปัญหาสังคมในด้านต่าง ๆ การที่จำเลยกับพวกร่วมกันนำและพาคนต่างด้าวจำนวนถึง 81 คน เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และร่วมกันซ่อนเร้นคนต่างด้าวนั้นเพื่อให้พ้นจากการจับกุม นับเป็นต้นเหตุในการก่อให้เกิดปัญหาดังกล่าวแก่ประเทศชาติ พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดแต่ละฐานและไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน