แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทายาทตามพนัยกรรมตกลงกันทำสัญญาปราณีประนอมยอมความว่าให้ถือเอาตามพินัยกรรมซึ่งตามกฎหมายเป็นโมฆะแล้วนั้นใช้บังคับได้ สัญญานั้นย่อมสมบูรณ์มีผลบังคับได้ เพราะพินัยกรรมนั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและสัญญาปราณีประนอมนั้น ก็ไม่ต้องห้ามตามบทกฎหมายใด ๆ
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรม เพราะจำเลยทำสัญญาปราณีประนอมยอมความให้ถือเอาตามพินัยกรรมนั้นแล้ว จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยทำสัญญาโดยสำคัญผิดว่าพินัยกรรมนั้นเป็นของแท้จริงและถูกต้องตาม ก.ม.ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งจำเลยต่อสู้ว่า สามีจำเลยได้บอกล้างนิติกรรมที่จำเลยได้กระทำไปโดยมิได้รับความยินยอมแล้วเช่นนี้ จำเลยซึ่งเป็นผู้กล่าวอ้างต้องนำสืบก่อน เมื่อไม่สืบก็ไม่มีข้อเท็จจริงจะวินิจฉัยตามข้อต่อสู้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่านางเฮียง เล็กประยูร ยายของโจทก์จำเลยได้ทำพินัยกรรมฉบับสุดท้ายยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้โจทก์จำเลยคนละครึ่ง เมื่อนางเฮียงตาย จำเลยกลับคัดค้านว่าจำเลยเป็นผู้ได้รับมรดกแต่ผู้เดียวตามพินัยกรรมลงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๔๘๖ และว่าพินัยกรรมลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๙๒ ไม่สมบูรณ์ เพราะนายอ่อนสามีโจทก์เป็นพะยานในพินัยกรรม ความจริงโจทก์และนายอ่อนได้หย่าขาดกันก่อนวันนางเฮียงทำพินัยกรรมฉบับหลังแล้ว แต่อย่างไรก็ดีโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาปราณีประนอมยอมความกันรับตามพินัยกรรมฉบับสุดท้ายแล้ว ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรม
จำเลยให้การว่าเมื่อนางเฮียงตายโจทก์อ่านพินัยกรรมลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๙๒ ให้จำเลยฟัง จำเลยไม่ได้ดูพินัยกรรม หลงเชื่อว่าเป็นของนางเฮียงจริง และสมบูรณ์ตามกฎหมายจึงได้ลงชื่อในหนังสือตามสำเนาท้ายฟ้อง ภายหลังจึงทราบว่าพินัยกรรมไม่สมบูรณ์เพราะพะยานในพินัยกรรมเป็นสามีโจทก์ ฉะนั้นหนังสือที่จำเลยเซ็นตามสำเนาท้ายฟ้องจึงไม่สมบูรณ์เพราะจำเลยสำคัญผิด จำเลยได้บอกล้างแล้ว และจำเลยเซ็นชื่อไปโดยนายจำรูญสามีจำเลยมิได้ยินยอม นายจำรูญได้บอกล้างไปยังโจทก์แล้ว
คู่ความรับกันตามรายงานพิจารณาว่า พินัยกรรมลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๙๒ นางเฮียงได้ทำไว้จริง ปัญหาที่ว่าโจทก์และสามียังเป็นสามีภรรยากันหรือไม่ในขณะทำพินัยกรรมนั้นโจทก์จำเลยขอให้ถือเอาคำพะยานในสำนวนคดีแพ่งเลขแดงที่ ๔๘๐/๒๔๙๓ ของศาลแขวงพระนครใต้ และรับว่าสำนักงานกลางกระทรวงมหาดไทยได้รับสำเนาทะเบียนหย่าจากคณะกรมการอำเภอตะพานหินภายหลังนายปานจิตรเบิกความในสำนวนคดีแพ่งแดงที่ ๔๘๐/๒๔๙๒ แล้ว จำเลยรับว่าหนังสือลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ โจทก์จำเลยได้ทำกันไว้จริง โจทก์ยอมรับว่าสามีจำเลยได้บอกล้างไปยังนายอ่อน และนายเชาวน์แล้วแต่โจทก์ไม่ทราบ คู่ความตกลงไม่สืบพะยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาเป็นใจความสำคัญ ๒ ข้อ คือ (๑) ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์กับนายอ่อนได้หย่าขาดจากกันแล้วในขณะนางเฮียงทำพินัยกรรมฉบับที่โจทก์ฟ้อง (๒) โจทก์ได้สิทธิตามสัญญาปราณีประนอม
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงแห่งคดีฟังไม่ได้ว่าโจทก์กับนายอ่อนได้หย่าขาดจากกันก่อนนางเฮียงถึงแก่กรรม ฎีกาโจทก์ที่ว่าพินัยกรรมสมบูรณ์จึงตกไป ส่วนฎีกาข้อต่อไปนั้นเห็นว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องอ้างสิทธิจากสัญญาปราณีประนอมยอมความด้วย จำเลยมิได้ปฏิเสธและนำสืบจ่าไม่ใช่สัญญาปราณีประนอมยอมความ จึงต้องฟังว่าเป็นสัญญาปราณีประนอมยอมความ ปัญหาคงมีว่าที่ตกลงจะขอถือเอาตามข้อกำหนดในพินัยกรรมที่เป็นโมฆะนั้นจะใช้ได้หรือไม่ เห็นว่าพินัยกรรมนี้ที่เป็นโมฆะ ก็เพราะสามีของผู้รับพินัยกรรมลงชื่อเป็นพะยานขัดต่อมาตรา ๑๖๕๓ หาใช่เพราะวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีไม่ ฉะนั้นสัญญาปราณีประนอมจึงใช้ได้ไม่ต้องห้ามตามกฎหมายบทใดตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าจำเลยลงชื่อในหนังสือนั้นโดยสำคัญผิดว่าเป็นพินัยกรรมที่แท้จริง และถูกต้องตามกฎหมายก็ดี นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะ สามีจำเลยได้บอกล้างแล้วก็ดี จำเลยเป็นผู้กล่าวอ้างขึ้นจึงต้องนำสืบ แต่จำเลยไม่สืบพะยานจึงไม่มีข้อเท็จจริงจะวินิจฉัยข้อต่อสู้ของจำเลยได้ พิพากษากลับว่าโจทก์มีสิทธิได้รับมรดกของนางเฮียงตามพินัยกรรมฉบับลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๙๒ โดยอาศัยอำนาจแห่งสัญญาปราณีประนอมยอมความที่ทำขึ้นนั้น