แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาค้ำประกันไม่มีกฎหมายกำหนดแบบไว้
การที่จำเลยลงลายมือชื่อในเอกสารหนังสือสัญญาค้ำประกันพิพาทแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อและประทับตราบริษัทโจทก์เป็นคู่สัญญาหาทำให้จำเลยพ้นจากความผูกพันตามหนังสือสัญญาค้ำประกันดังกล่าวที่มีอยู่กับโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2538 จำเลยที่ 1 สมัครเข้าทำงานกับโจทก์ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายลูกค้ารายใหญ่ จำเลยที่ 2เข้าทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 19 มกราคม2539 จำเลยที่ 1 ขายรถยนต์เก๋งยี่ห้อนิสสัน รุ่นพรีเซีย ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แก่นางสาววราภรณ์ หิรัญพต ในราคา 699,900 บาท และรับเงินจากผู้ซื้อแล้วไม่นำเงินมอบแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย 729,645 บาท แก่โจทก์ และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 699,900 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยทำหนังสือสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ให้ไว้แก่โจทก์ หนังสือสัญญาค้ำประกันการทำงานตามเอกสารท้ายฟ้องเป็นหนังสือสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับบุคคลอื่นซึ่งได้ตกลงยกเลิกสัญญาไปแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 699,900 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 มกราคม2539 จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2ชำระหนี้ดังกล่าวแทน
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2538 จำเลยที่ 1 ได้พาจำเลยที่ 2 ไปที่บริษัทที่ทำงานของจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อค้ำประกันการทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายลูกค้ารายใหญ่ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3ที่ทำงานของจำเลยที่ 1 ที่พาจำเลยที่ 2 ไปลงลายมือชื่อค้ำประกันตั้งอยู่ถนนรามอินทราแห่งเดียวกับบริษัทกรุงไทย คาร์เร้นท์ อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด
ปัญหาตามฎีกาจำเลยที่ 2 ที่ว่า จำเลยที่ 2 ต้องผูกพันตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.3 กับโจทก์หรือไม่ นั้นเห็นว่า นายสุนทรเหมะคีรินทร์ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 มาสมัครทำงานกับโจทก์ มิได้สมัครทำงานกับบริษัทกรุงไทย คาร์เร้นท์ อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด โดยเขียนใบสมัครงานระบุชื่อ ที่อยู่ พร้อมแสดงหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านไว้ แต่เนื่องจากตำแหน่งงานที่สมัครมีความรับผิดชอบทางด้านการเงินสูง โจทก์จึงให้จำเลยที่ 1 หาผู้ค้ำประกันการทำงาน โดยระหว่างหาผู้ค้ำประกันการทำงานไม่ได้ก็ให้จำเลยที่ 1 ฝึกงานไปก่อน ในวันที่ 4 มีนาคม 2538 จำเลยที่ 1 พาจำเลยที่ 2มาทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ปรากฏตามเอกสาร จ.3จำเลยที่ 2 มิได้นำจำเลยที่ 1 หรือพยานอื่นใดมาแสดงว่าจำเลยที่ 1มิได้สมัครทำงานกับโจทก์ เพียงต่อสู้ว่าหัวกระดาษเอกสารหมาย จ.3ระบุชื่อบริษัทกรุงไทย คาร์เร้นท์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัทในเครือแสดงว่าจำเลยที่ 1 สมัครงานกับบริษัทกรุงไทย คาร์เร้นท์ อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด ซึ่งข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้
ปัญหาตามฎีกาจำเลยที่ 2 ที่ว่า โจทก์เพิ่งลงชื่อเป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.3 ภายหลังจำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสาร จ.3 นั้นเห็นว่า สัญญาค้ำประกันไม่มีกฎหมายกำหนดแบบของสัญญาไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 วรรคสอง ก็บัญญัติเพียงว่า “อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่” การที่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.3 แต่เพียงฝ่ายเดียวโดยโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อและประทับตราบริษัทโจทก์เป็นคู่สัญญาด้วยก็หาทำให้จำเลยที่ 2 พ้นจากความผูกพันตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสาร จ.3 ที่มีอยู่กับโจทก์แต่อย่างใด ที่ศาลล่างวินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.3 ชอบแล้ว
พิพากษายืน