แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ลูกจ้างมีอำนาจหน้าที่ทำการแทนนายจ้างโดยสมบูรณ์ในการจ้างคนงาน ไม่ว่าเป็นตัวคนที่ว่างงาน ค่าแรง ตลอดจนกรณีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการจ้างนั้น จึงเป็นกรณีที่ระบุตามข้อ 36(1) แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ ลูกจ้างจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา หาต้องพิจารณาว่าในการทำงานของลูกจ้าง ลูกจ้างจะต้องอยู่ภายใต้บังคับของนายจ้างหรือผู้แทนของนายจ้างหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดทัดทองฯ จำเลยได้จ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำทำหน้าที่หัวหน้าควบคุมงานก่อสร้าง จำเลยได้สั่งให้โจทก์ไปควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่จังหวัดปัตตานี เนื่องจากต้องทำงานอย่างรีบเร่งมาก โจทก์จึงได้ทำงานล่วงเวลาทุกวัน และต้องทำงานในวันหยุดด้วย ต่อมาจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่างานหมดแล้วโดยไม่จ่ายค่าชดเชยค่ารักษาพยาบาลซึ่งโจทก์ประสบอุบัติเหตุขณะทำงานในกิจการของจำเลยค่าทดแทนและไม่จ่ายค่าล่วงเวลาให้ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินดังกล่าวและค่าล่วงเวลาพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์มิใช่ลูกจ้างประจำแต่เป็นลูกจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนและเลิกจ้างตามกำหนดเวลานั้น จำเลยจ้างโจทก์ให้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยงานคุมงานก่อสร้างแต่ละงาน มีสิทธิบังคับบัญชาคนงาน โจทก์ต้องใช้ความสามารถและความตั้งใจของตนในการควบคุมให้ดีที่สุด การเรียกค่าล่วงเวลาจึงไม่มีเหตุสมควร และจำเลยยังตกลงให้โจทก์เร่งรัดงานให้เสร็จโดยเร็ว หากงานเสร็จก่อนกำหนด ก็จะตอบแทนเป็นรางวัลส่วนหนึ่งแก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าล่วงเวลา อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมิใช่เกิดขึ้นเพราะกิจการของจำเลย โจทก์มิได้บาดเจ็บทุพพลภาพ และไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในระยะเวลาที่ฟ้องเพราะมิใช่ลูกจ้างจำเลย
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยตกลงจ้างโจทก์เป็นรายโครงการไป โจทก์ควบคุมงานก่อสร้างที่จังหวัดปัตตานีถึงเดือนตุลาคม 2522 การก่อสร้างก็แล้วเสร็จช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2522 ถึงมกราคม 2523 โจทก์มิใช่ลูกจ้างจำเลย ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง โจทก์เริ่มทำงานตามโครงการใหม่ที่อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2523 ครั้นวันที่ 9 มิถุนายน 2523 ซึ่งโจทก์ทำงานมา 4 เดือนเศษ และงานยังไม่เสร็จจำเลยเลิกจ้างโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชย 5,000 บาท ในการควบคุมการก่อสร้างโจทก์มีอำนาจหน้าที่ทำการแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างในกรณีเกี่ยวข้องกับการจ้างคนงาน โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 36(1) ในเรื่องค่าทดแทนซึ่งรวมทั้งค่ารักษาพยาบาลนั้น โจทก์ไม่ปฏิบัติตามวิธีการและขั้นตอนของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 จึงไม่มีสิทธิฟ้อง และจำเลยที่ 2 กระทำการในนามหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่ายเงินค่าชดเชย จำนวน 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2523 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลแรงงานกลางสั่งรับเฉพาะประเด็นที่ 2 ในส่วนที่อุทธรณ์ว่า กรณีของโจทก์ไม่เข้าข้อ 36(1) ของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานฯ โจทก์จึงมีสิทธิได้ค่าล่วงเวลา ส่วนอุทธรณ์ข้ออื่นเป็นข้อเท็จจริงไม่รับอุทธรณ์ โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลฎีกาสั่งยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 36 กำหนดว่า “ลูกจ้างซึ่งนายจ้างให้ทำงานอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ ไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาตามข้อ 34 และข้อ 42 (1) งานที่ลูกจ้างมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการ ผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายหรือหัวหน้างานซึ่งมีหน้าที่ทำการแทนนายจ้างสำหรับกรณีการจ้าง การลดการจ้าง การเลิกจ้าง การให้บำเหน็จการลงโทษ หรือการวินิจฉัยข้อร้องทุกข์ (2) ฯลฯ “ดังนี้เห็นว่า เมื่อลูกจ้างทำงานมีตำแหน่งและมีอำนาจหน้าที่ทำการแทนนายจ้างอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมดตามที่ระบุในข้อ 36(1) นี้แล้ว ลูกจ้างก็ไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา หาต้องพิจารณาว่าในการทำงานของลูกจ้าง ลูกจ้างจะต้องอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของนายจ้างหรือผู้แทนของนายจ้างอีกหรือไม่ คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์มีอำนาจหน้าที่ทำการแทนห้างหุ้นส่วนจำเลยโดยสมบูรณ์ในกรณีการจ้างคนงาน ไม่ว่าเป็นตัวคนงานที่ว่าจ้าง ค่าแรงตลอดจนกรณีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการจ้างนั้น ศาลฎีกาจึงเห็นว่า กรณีของโจทก์เป็นเรื่องตามข้อ 36(1) แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานฯ โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา
พิพากษายืน