คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2649/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้อง คำให้การและฟ้องแย้ง และคำให้การแก้ฟ้องแย้งมีเพียงว่า ที่ดินพิพาทที่จำเลยทั้งสามครอบครองเป็นของโจทก์หรือเป็นกรรมสิทธิ์รวมของจำเลยทั้งสามเท่านั้น ซึ่งหากศาลฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ก็ชอบที่จะพิพากษาขับไล่จำเลยและยกฟ้องแย้ง หากฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมของจำเลยทั้งสามก็ชอบที่จะยกฟ้องโจทก์และบังคับให้ไปตามคำขอท้ายฟ้องแย้ง การที่ศาลชั้นต้นรับฟังว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์แล้วยังวินิจฉัยต่อไปว่าการที่ ถ. ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ก็โดยมีเจตนาให้บุตรทุกคนที่ยังไม่มีครอบครัวได้อยู่ร่วมกัน บุตรซึ่งมีครอบครัวและหากมีเงินให้แยกไปปลูกบ้านอยู่ต่างหากนอกที่ดินพิพาท โดยจำต้องผูกพันตามเจตนาของ ถ. เมื่อจำเลขที่ 1 ยังไม่มีครอบครัว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีเงิน โจทก์จึงจำต้องให้จำเลยทั้งสามอยู่ในที่ดินพิพาทต่อไปไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามโดยจำเลยทั้งสามมิได้ให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การและฟ้องแย้งจึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นพิพาท ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 742 เนื้ที่ 3 งาน 79.9 ตารางวา โจทก์ให้จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับโจทก์อยู่อาศัย ต่อมาจำเลยทั้งสามโค่นต้นตาลในที่ดินของโจทก์ดังกล่าว โจทก์จึงไม่ประสงค์ให้จำเลยทั้งสามและบริวารอยู่อาศัย และได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสามออกไปจากที่ดินแล้ว แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉยทำให้โจทก์เสียหาย เพราะหากให้บุคคลอื่นเข้าทำประโยชน์จะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าปีละ 20,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์และห้ามมิให้เข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายปีละ 20,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสามและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 742 เป็นของนางถึงมารดาจำเลยทั้งสามและโจทก์ นางถียกให้แก่บุตรรวม 5 คน ได้อยู่อาศัยร่วมกัน โดยจำเลยทั้งสามมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วย เพียงแต่ใส่ชื่อของโจทก์ซึ่งเป็นน้องคนเล็กเป็นเจ้าของในโฉนดที่ดินผู้เดียวตามความเชื่อของคนสมัยก่อนที่ต้องการให้พี่น้องอยู่ร่วมกัน โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ครอบครองที่ดินเนื้อที่ 175 ตารางวา จำเลยที่ 3 ครอบครองที่ดินเนื้อที่ 115 ตารางวา มานานกว่า 30 ปี แล้ว จำเลยทั้งสามบอกให้โจทก์แบ่งที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสามจำนวนเนื้อที่ 290 ตารางวา แล้ว แต่โจทก์ผัดผ่อนเรื่อยมา ที่จำเลยทั้งสามโค่นต้นตาลเพราะเกรงว่าจะหักทับบ้านของจำเลยทั้งสาม ค่าเสียหายของโจทก์ไม่เกินปีละ 1,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินให้จำเลยทั้งสามตามส่วน หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 742 เป็นของนายสอนบิดาโจทก์และจำเลยทั้งสาม เมื่อนายสอนถึงแก่กรรม นางถีมารดาโจทก์และจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกได้โอนที่ดินดังกล่าวเป็นของนางถี วันเดียวกันนางถียกให้แก่โจทก์ โดยจำเลยทั้งสามทราบดีและมิได้คัดค้าน และจำเลยทั้งสามก็ได้รับมรดกของนายสอนทุกคน ที่ดินดังกล่าวจึงมิใช่มรดกของนางถี จำเลยทั้งสามไม่มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าว ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 742 และได้ให้จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับโจทก์อยู่อาศัย ต่อมาจำเลยทั้งสามโค่นต้นตาลในที่ดินพิพาทโจทก์จึงไม่ประสงค์ให้จำเลยทั้งสามและบริวารอยู่อาศัยต่อไป ขอให้บังคับขับไล่จำเลยทั้งสามออกจากที่ดินและเรียกค่าเสียหาย จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 742 เป็นของนางถีมารดาจำเลยทั้งสามและโจทก์ นางถียกให้แก่บุตรรวม 5 คน อาศัยร่วมกัน จำเลยทั้งสามจึงมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วย เพียงแต่ใส่ชื่อของโจทก์ซึ่งเป็นน้องคนเล็กเป็นเจ้าของในโฉนดที่ดินดังกล่าวผู้เดียวตามความเชื่อขงคนสมัยก่อนที่ต้องการให้พี่น้องอยู่ร่วมกัน โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่ 175 ตารางวา จำเลยที่ 3 ครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่ 115 ตารางวา จำเลยทั้งสามบอกให้โจทก์แบ่งที่ดินพิพาทดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสามแล้ว โจทก์ผัดผ่อนเรื่อยมา ขอให้ยกฟ้องและขอให้บังคับโจทก์แบ่งที่ดินพิพาทดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสาม โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 742 เป็นของโจทก์ จำเลยทั้งสามไม่มีกรรมสิทธิ์รวม ประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้อง คำให้การและฟ้องแย้ง และคำให้การแก้ฟ้องแย้งมีเพียงว่า ที่ดินพิพาทที่จำเลยทั้งสามครอบครองเป็นของโจทก์หรือเป็นกรรมสิทธิ์รวมของจำเลยทั้งสามเท่านั้น ซึ่งหากศาลฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ก็ชอบที่จะพิพากษาขับไล่จำเลยและยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสาม หากฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมของจำเลยทั้งสามก็ชอบที่จะยกฟ้องโจทก์และบังคับให้ไปตามคำขอท้ายฟ้องแย้งของจำเลย การที่ศาลชั้นต้นรับฟังว่า ที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นของโจทก์แล้วยังวินิจฉัยต่อไปว่าการที่นางถียกที่ดินพิพาทให้โจทก์ก็โดยมีเจตนาให้บุตรทุกคนที่ยังไม่มีครอบครัวได้อยู่ร่วมกัน บุตรซึ่งมีครอบครัวและหากมีเงินให้แยกไปปลูกบ้านอยู่ต่างหากนอกที่ดินพิพาท โจทก์จำต้องผูกพันตามเจตนาของนางถี เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 1 ยังไม่มีครอบครัว จำเลยที่ 3 ไม่มีเงิน ส่วนจำเลยที่ 2 แม้มีครอบครัวแล้วแต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มีเงิน โจทก์จึงจำต้องให้จำเลยทั้งสามอยู่ในที่ดินพิพาทต่อไปไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามออกจากที่ดินที่จำเลยทั้งสามครอบครอง ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นหยิบยกขึ้นวินิจฉัยดังกล่าวเห็นได้ชัดว่าจำเลยทั้งสามมิได้ให้การต่อสู้ไว้โดยชัดแจ้งในคำให้การและฟ้องแย้งจึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นข้อพิพาท คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในส่วนนี้ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง แม้โจทก์จะยกขึ้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยให้ ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่คู่ความจะยกขึ้นฎีกาได้ เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 อันเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเดี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแม้ไม่มีคู่ความผ่ายใดยกขึ้นอ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า จำเลยทั้งสามมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทของโจทก์หรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยทั้งสามชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องนั้น เนื่องจากศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัย และคดีนี้เป็นคดีที่จำกัดสิทธิของคู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง กรณีมีเหตุสมควรย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าเสียหายของโจทก์ต่อไป”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 และยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในส่วนที่วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามออกจากที่ดินของโจทก์เพราะขัดต่อเจตนาของนางถี ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าเสียหายตามคำฟ้องของโจทก์แล้วมีคำพิพากษาใหม่ คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนในชั้นฎีกาและค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

Share