คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2640/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้าง เมื่อจำเลยผู้จะขายได้จัดการขนย้ายผู้เช่าเดิมออกไปจากที่ดินพิพาทแล้วตามสัญญา จำเลยแจ้งให้โจทก์ผู้จะซื้อนำค่าที่ดินงวดที่ 2 มาชำระ แต่โจทก์ก็หาได้ชำระไม่อ้างว่าจำเลยยังไม่ปฏิบัติตามสัญญา จำเลยจึงให้ทนายความมีหนังสือแจ้งต่อโจทก์โดยกำหนดระยะเวลาให้ชำระหนี้ หากไม่ชำระภายในเวลาที่กำหนดก็ให้ถือเป็นการบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำ ซึ่งโจทก์ทราบแล้วก็มิได้ชำระเงินให้แก่จำเลยตามเวลาที่กำหนด สัญญาจะซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงระงับสิ้นไป แม้ต่อมาทนายความของจำเลยจะได้มีหนังสือแจ้งต่อโจทก์ว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์ชำระเงินตามสัญญาภายในวันที่ 7 พฤษภาคม2528 อีก หนังสือดังกล่าวก็เป็นเพียงข้อเสนอที่จำเลยให้แก่โจทก์ใหม่ ภายหลังสัญญาเลิกกันแล้วเมื่อโจทก์ไม่ได้ตกลงสนองตอบ ย่อมไม่ก่อให้เกิดผลแต่อย่างใด จำเลยจึงหาจำต้องบอกเลิกสัญญาเมื่อพ้นกำหนดดังกล่าวอีกไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกของหม่อมเจ้ากมลีสาณ ชุมพลได้ทำสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๕๐ อำเภอพระนคร กรุงเทพมหานคร พร้อมบ้าน ๑ หลัง และเรือนครัว ๑ หลัง ให้แก่โจทก์ รวมเป็นเงิน ๑๒,๙๖๐,๐๐๐ บาท ตกลงชำระราคาเป็น ๓ งวดงวดแรกชำระในวันทำสัญญา งวดที่ ๒ ชำระภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ โดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยที่ ๑ ต้องจัดการฟ้องผู้เช่าและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทดังกล่าวแล้วและพร้อมที่จะให้โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้ มิฉะนั้นโจทก์ก็ยังไม่ต้องชำระราคางวดที่ ๒ ส่วนงวดที่ ๓ชำระภายใน ๖ เดือน นับแต่วันที่ชำระงวดที่ ๒ พร้อมกับจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ต่อมาปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ไม่สามารถจัดการให้ผู้เช่าและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทได้ โจทก์มีหนังสือแจ้งจำเลยที่ ๑ ให้จัดการให้ผู้เช่าและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๑มีหนังสือแจ้งต่อโจทก์ว่าจำเลยที่ ๑ ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยล้อมรั้วไว้แล้ว ขอให้โจทก์ชำระราคาที่ดินงวดที่ ๒ พร้อมดอกเบี้ย และให้ชำระงวดสุดท้ายภายใน ๖ เดือน มิฉะนั้นถือว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ ความจริงแล้วจำเลยที่ ๑ ยังไม่สามารถจัดการให้ผู้เช่าและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทได้ จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญา จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่ตัวเองและจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ โดยการรับมรดก และจำเลยทั้งสามได้รับค่าตอบแทนจำนวน ๘๑,๐๐๐ บาทจากโจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสามจัดการให้ผู้เช่าและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ส่งมอบและโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โดยโจทก์พร้อมที่จะชำระราคาที่ดินพิพาทงวดที่ ๒ และที่ ๓ ให้แก่จำเลย โดยให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทันที มิฉะนั้นก็ให้คืนเงินที่ได้รับไปจากโจทก์แล้วทั้งหมด และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้จัดการให้ผู้เช่าและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทแล้ว แต่โจทก์ไม่สามารถชำระค่าที่ดินงวดที่ ๒ และขอผัดผ่อนไป โจทก์ได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว เมื่อครบกำหนดเวลาผัดผ่อนโจทก์ก็ไม่สามารถชำระเงินให้จำเลยที่ ๑ แต่กล่าวอ้างว่าบุคคลอื่นยังครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๑ มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ ๑ เข้าครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว และกำหนดให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญามิฉะนั้นให้ถือว่าหนังสือดังกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญา แต่โจทก์ก็ไม่ปฏิบัติตาม โจทก์ผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๑ บอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์ใช้สิทธิฟ้องโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญากับจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญาโดยถูกต้องแล้วและวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้ให้ทนายความมีหนังสือแจ้งโจทก์โดยกำหนดเวลาให้ชำระหนี้ หากไม่ชำระภายในเวลาที่กำหนดก็ให้ถือเป็นการบอกกล่าวเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำ ซึ่งโจทก์ทราบแล้วก็มิได้ชำระหนี้แก่จำเลยที่ ๑ ตามเวลาที่กำหนดไว้แต่อย่างใดสัญญาจะซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงระงับสิ้นไป โจทก์จะฟ้องบังคับตามสัญญาหาได้ไม่ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาภายหลังเมื่อพ้นกำหนดวันที่ ๗ พฤษภาคม๒๕๒๘ เอกสารหมาย จ.๑๖ นั้น เห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเพียงข้อเสนอที่จำเลยที่ ๑ ให้แก่โจทก์ใหม่ ภายหลังสัญญาเลิกกันแล้ว ซึ่งปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้ตกลงสนองตอบ ย่อมไม่ก่อให้เกิดผลแต่อย่างใดจำเลยที่ ๑ จึงหาจำต้องบอกเลิกสัญญาอีกไม่
พิพากษายืน.

Share