คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2630/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นตัวแทนพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยมีหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในฐานะที่จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดอยู่ แม้ต่อมาจะได้มีการเจรจาระหว่างโจทก์กับพวกฝ่ายหนึ่งกับจำเลยอีกฝ่ายหนึ่ง ก็เป็นเรื่องที่จะแสวงหาข้อยุติเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมตามที่โจทก์กับพวกได้ร้องเรียนเท่านั้นมิใช่เป็นการแจ้งข้อเรียกร้องต่อจำเลยผู้เป็นนายจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 13 วรรคแรก ดังนั้นเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ในเวลาต่อมาจึงมิใช่การเลิกจ้างในระหว่างที่ข้อเรียกร้องของโจทก์ยังมีผลบังคับตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 31.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง เมื่อเดือนมกราคม 2530 โจทก์กับลูกจ้างจำเลยซึ่งเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ได้ร่วมประชุมเพื่อพิจารณาข้อบังคับเกี่ยวกับสภาพการจ้างและได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อจำเลยที่ 2 ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2530 จำเลยที่ 2 ได้เจรจากับโจทก์และตัวแทนของลูกจ้างแล้ว จำเลยที่ 2ยอมรับตามข้อเรียกร้องข้อ 5 คือ ให้ชะลอการต่ออายุสัญญาและการเลิกจ้างไว้ก่อนจนกว่าข้อเรียกร้องจะยุติและตกลงนัดเจรจาข้อเรียกร้องในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2530 แต่ไม่สามารถตกลงกันได้โจทก์กับลูกจ้างคนอื่นจึงเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งมีอำนาจบังคับบัญชารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแจ้งว่า ทุกคนเมื่อพ้นหน้าที่จากการบินก็ให้ลงมาทำงานภาคพื้นดินจนกว่าจะมีอายุครบ60 ปี นับตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2530 เป็นต้นมา จำเลยที่ 1ยังมิได้แจ้งให้โจทก์และตัวแทนของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินได้ทราบตามที่ตกลงกันไว้เพื่อเข้าร่วมเจรจาข้อเรียกร้องจึงถือว่าข้อเรียกร้องของโจทก์กับพวกเป็นข้อเรียกร้องที่อยู่ในระหว่างการเจรจา ต่อมาเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2530 จำเลยทั้งสองมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์ปฏิเสธการทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ซึ่งความจริงโจทก์ทำงานกับจำเลยตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2520 มิได้กำหนดให้โจทก์ต้องทำสัญญาใด ๆกับจำเลยทั้งสองอีก ข้ออ้างของจำเลยทั้งสองที่ถือเป็นเหตุเลิกจ้างโจทก์ จึงไม่ชอบและไม่มีผลบังคับและจำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ในระหว่างที่ข้อเรียกร้องของโจทก์กับพวกยังอยู่ในระหว่างการเจรจา จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่และอัตราเงินเดือนเท่าเดิม กับให้ชำระค่าจ้างตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเลิกจ้างจนกว่าจะรับโจทก์กลับเข้าทำงาน พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ในการรับสมัครพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน จำเลยที่ 1 ได้ประกาศถึงคุณสมบัติที่สมัครหลักทรัพย์ค้ำประกันและต้องพ้นหน้าที่เมื่ออายุครบ 30 ปีบริบูรณ์ เมื่อจำเลยที่ 1 รับโจทก์เข้าทำงานก็ได้ทำสัญญาว่าโจทก์ทราบแล้วว่าลูกจ้างต้องพ้นหน้าที่เมื่ออายุครบ30 ปีบริบูรณ์ เว้นแต่จำเลยที่ 1 จะพิจารณาต่อสัญญาจ้างให้เป็นปี ๆ ไปข้อสัญญาจึงเป็นคุณแก่โจทก์ ข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ที่กำหนดให้ออกจากงานหรือเกษียณอายุเมื่ออายุ 60ปี เป็นข้อบังคับที่ใช้สำหรับพนักงานทั่วไปมิใช่ใช้บังคับกับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เมื่อโจทก์มีอายุครบ 30 ปีบริบูรณ์ ในปี พ.ศ. 2528 โจทก์จึงต้องพ้นจากหน้าที่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน แต่ก่อนครบอายุดังกล่าวโจทก์ได้ยื่นหนังสือขอต่ออายุตามเงื่อนไขในสัญญาจ้าง จำเลยที่ 1 พิจารณาแล้วอนุมัติให้ต่อสัญญาได้ซึ่งในปี พ.ศ. 2529 ก็ได้มีการต่ออายุสัญญาให้อีก ซึ่งจะพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 2กุมภาพันธ์ 2530 โจทก์ได้ขอต่ออายุสัญญาอีก 1 ปี จำเลยที่ 1มีคำสั่งอนุมัติโดยให้โจทก์ลงชื่อก่อนสัญญาเดิมสิ้นสุดแต่โจทก์ไม่ยอมลงชื่อเพราะเกี่ยงว่าสัญญาฉบับนี้มีข้อกำหนดเรื่องการตั้งครรภ์และขอเลื่อนการลงชื่อไปวันที่ 28กุมภาพันธ์ 2530 ซึ่งจำเลยที่ 1 ให้ความยินยอมแล้ว ปรากฏว่าในช่วงระยะเวลานี้โจทก์ได้ร้องเรียนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเพื่อขอความเป็นธรรม จำเลยที่ 1ต้องการหาข้อยุติเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย จึงได้ประชุมพิจารณาถึงปัญหานี้ที่ประชุมมีมติให้ระงับการใช้สัญญาฉบับใหม่ โดยให้ใช้สัญญาฉบับเดิม ดังนั้นข้อห้ามเรื่องการตั้งครรภ์จึงไม่มีอีกต่อไป หลังจากนั้นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินได้ลงชื่อต่อสัญญากับจำเลยที่ 1 คงมีโจทก์ผู้เดียวที่ไม่ยอมลงชื่อ ซึ่งเป็นความผิดของโจทก์เองจำเลยที่ 1 จึงเลิกจ้างโจทก์ข้อเรียกร้องของโจทก์กับพวกไม่เป็นไปตามขั้นตอนและวิธีการตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ซึ่งเป็นเพียงเรื่องร้องเรียนตามธรรมดา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า โจทก์อุทธรณ์ข้อแรกว่าโจทก์กับพวกได้มีหนังสือลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2530 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อจำเลยที่ 2 ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว จึงได้มีการประชุมเพื่อเจรจาตกลงกันที่กระทรวงคมนาคม โดยมีตัวแทนของโจทก์และจำเลยที่ 2 กับพวกครบถ้วนตามกฎหมายถือได้ว่าได้มีการแจ้งข้อเรียกร้องต่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างแล้วปัญหาข้อนี้ข้อเท็จจริงได้ความตามคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ในตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2520 โดยทำสัญญาจ้างกันว่าโจทก์ทำงานในหน้าที่นี้และจะพ้นจากหน้าที่เมื่อโจทก์มีอายุครบ 30 ปีบริบูรณ์ ต่อมาเมื่อโจทก์มีอายุครบ 30 ปี บริบูรณ์แล้ว จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจ้างให้โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปอีกเป็นระยะเวลาครั้งละ 1 ปีรวม 2 ครั้ง และได้ขอทำสัญญาต่อเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งจำเลยที่ 1 มีคำสั่งอนุมัติ โจทก์ขอผ่อนผันการลงชื่อในสัญญาจ้างเนื่องจากมีเงื่อนไขเพิ่มเติมขึ้นจากสัญญาเดิม โจทก์กับพวกจึงได้ทำหนังสือฉบับลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2530 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แต่โจทก์ยังไม่ยอมลงชื่อในสัญญาจ้างฉบับใหม่ที่ได้รับอนุมัติจากจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองจึงมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ โดยอ้างเหตุว่าโจทก์ปฏิเสธการทำสัญญาจ้างกับจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ได้ให้สิทธิแก่นายจ้างหรือลูกจ้างที่จะแจ้งข้อเรียกร้องเพื่อขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างต่ออีกฝ่ายหนึ่งได้ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 13 ซึ่งกำหนดขั้นตอนของการแจ้งข้อเรียกร้องของลูกจ้างไว้ว่า ลูกจ้างจะต้องทำข้อเรียกร้องเป็นหนังสือแสดงเจตนาของลูกจ้างที่ประสงค์จะขอให้มีการกำหนดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างขึ้นหรือให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่มีอยู่แล้วนั้น ทั้งต้องแจ้งหรือยื่นข้อเรียกร้องโดยตรงต่อจำเลยทั้งสองผู้เป็นนายจ้างของโจทก์กับพวกด้วย ตามหนังสือฉบับลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2530เอกสารหมายเลข 1 ท้ายคำฟ้อง เป็นเรื่องที่โจทก์ในฐานะตัวแทนพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินบริษัทเดินอากาศไทย จำกัด มีถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งมิใช่นายจ้างของโจทก์กับพวกแต่เป็นเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในฐานะที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดอยู่เท่านั้นแม้ต่อมาจะได้มีการเจรจากันระหว่างโจทก์กับพวกฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 1 อีกฝ่ายหนึ่ง ก็เป็นเรื่องที่จะแสวงหาข้อยุติเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมตามที่โจทก์กับพวกได้ร้องเรียนเท่านั้น เมื่อโจทก์กับพวกมิได้แจ้งข้อเรียกร้องต่อจำเลยทั้งสองผู้เป็นนายจ้างจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอน อันเป็นสาระสำคัญของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 13 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทบังคับให้นายจ้างและลูกจ้างต้องปฏิบัติโดยเคร่งครัดหนังสือของโจทก์กับพวกฉบับลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2530เอกสารหมายเลข 1 ท้ายคำฟ้องจึงไม่เป็นข้อเรียกร้องที่ยื่นต่อจำเลยทั้งสองผู้เป็นนายจ้างตามข้ออุทธรณ์ของโจทก์
พิพากษายืน.

Share