คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2610/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยจ้างโจทก์ไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ รวบรวมรายละเอียดและหลักฐานเกี่ยวแก่ที่ดินของจำเลยที่ถูกบุกรุกและจ้างโจทก์ดำเนินการเกี่ยวแก่การแจ้งความหรือร้องทุกข์ที่ดินแปลงเดียวกันนี้ โดยยอมให้ค่าจ้างเป็นรายข้อหา สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาจ้างทำของและตามข้อสัญญาก็มิได้เป็นช่องทางให้โจทก์ดำเนินการแจ้งความหรือร้องทุกข์ได้หลายข้อหาเพื่อหวังจะได้ค่าจ้างมากขึ้นตามข้อหาเหล่านั้น เพราะการจะแจ้งความหรือร้องทุกข์กี่ข้อหากี่คดีย่อมแล้วแต่ความประสงค์ของจำเลย ผู้ว่าจ้างจะลงชื่อร้องทุกข์แจ้งความในข้อหาใดหรือไม่ ซึ่งโจทก์กำหนดราคาค่าจ้างให้จำเลยทราบก่อนแล้ว สัญญาดังกล่าวจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาส่งเสริมให้จำเลยเป็นความกับบุคคลอื่น ไม่ขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่เป็นโมฆะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน ได้ว่าจ้างโจทก์ในฐานะทนายความให้ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุเรื่องบุคคลอื่นรบกวนสิทธิในที่ดินของจำเลย และร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน โดยตกลงให้ค่าป่วยการแก่โจทก์ในการตรวจสถานที่ เป็นเงิน 1,500 บาท ในการร้องทุกข์ ณ สถานีตำรวจข้อหาละ 2,000 บาท โจทก์ได้ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุสอบสวนพยานหลักฐานและร้องทุกข์คดีอาญาต่อพนักงานสอบสวนรวม 5 ข้อหา คิดค่าป่วยการ 11,500 บาท จำเลยชำระให้โจทก์แล้ว 2,000บาท ต่อมาจำเลยจ้างโจทก์ให้จัดการร้องทุกข์เพิ่มเติมอีกโจทก์จัดการร้องทุกข์เพิ่มเติมให้จำเลยอีก 4 ข้อหา ซึ่งจำเลยจะต้องชำระเงินให้โจทก์อีก 8,000 บาท จำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อในข้อตกลงว่าจ้างให้โจทก์ไว้เป็นหลักฐาน และโจทก์ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามข้อตกลงว่าจ้างเสร็จแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าป่วยการให้โจทก์รวมเป็นเงิน 17,500 บาท โจทก์ทวงถาม จำเลยก็ไม่ชำระจึงขอให้ศาลบังคับ

จำเลยทั้งสองให้การว่า มีผู้ละเมิดบุกรุกที่ดินของจำเลย จำเลยปรารภกับโจทก์ โจทก์รับช่วยเหลือจัดการให้ จำเลยไม่เคยตกลงว่าจ้างโจทก์ในฐานะทนายความ จำเลยไม่ได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ให้ร้องทุกข์เพิ่มเติมอีก 4 ข้อหา จำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อในเอกสารว่าจ้างให้โจทก์ด้วยความสำคัญผิด โดยการทุจริตของโจทก์ว่าเป็นหนังสือมอบอำนาจให้ไปดำเนินคดีร้องทุกข์แทนจำเลยที่ 1 ไม่ได้ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยาไปทำสัญญาดังกล่าว จำเลยที่ 1ได้บอกปัดไม่ยอมรับผิด เป็นการบอกล้างสัญญา สัญญาจึงเป็นโมฆะ การที่โจทก์เรียกเอาค่าจ้างเป็นรายข้อหาเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญาเป็นโมฆะกรรม เงิน 2,000 บาท ที่จำเลยให้โจทก์นั้น ถ้าถือเป็นค่าจ้างทนายความถือว่าจำเลยชำระค่าจ้างให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องอีก

ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยไม่ได้ตกลงให้ค่าจ้างแก่โจทก์ โจทก์ไปทำงานให้จำเลยสองครั้งด้วยข้อตกลงโดยปริยายว่าจะได้รับค่าตอบแทนตามสมควรครั้งแรกโจทก์ก็ได้รับค่าตอบแทน 2,000 บาท โดยไม่อิดเอื้อนแสดงว่าโจทก์พอใจโจทก์จึงไปทำงานให้จำเลยเป็นครั้งที่สอง ซึ่งก็ไม่หนักไปกว่าครั้งแรก ค่าตอบแทนควรจะเท่ากับครั้งแรก พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยทั้งสองตกลงให้ค่าจ้างแก่โจทก์ตามสัญญาแต่สัญญาที่จำเลยตกลงให้โจทก์ได้ค่าจ้างมากขึ้นตามที่โจทก์ดำเนินการแจ้งความหรือร้องทุกข์เป็นรายข้อนั้น เห็นว่า เป็นข้อสัญญาที่ส่งเสริมให้จำเลยเป็นความกับผู้อื่นเกินจำเป็น เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนเป็นโมฆะ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างไม่ได้แต่จำเลยแก้อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเสียค่าตอบแทนให้โจทก์อีก 2,000 บาท เป็นการชอบจึงพิพากษายืนในผล ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองได้ไปปรึกษาโจทก์เกี่ยวกับที่ดินของจำเลยที่ถูกบุกรุก โจทก์รับดำเนินการให้และไปดูที่ดินพิพาทโจทก์ดูแล้วทำคำร้องทุกข์ยื่นต่อพนักงานสอบสวน และต่อมาได้ทำคำร้องทุกข์เพิ่มเติมจำเลยที่ 2 ได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ตามสัญญาที่จำเลยที่ 2 ลงชื่อไว้ให้โจทก์จริงมิใช่เป็นเรื่องการทำให้เปล่า หรือจำเลยที่ 2 เซ็นชื่อในเอกสารด้วยความสำคัญผิดว่าเป็นใบมอบอำนาจให้ร้องทุกข์แทน และเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยา ลงชื่อในสัญญาจ้าง ซึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้ตกลงจ้างโจทก์ตามสัญญานั้นด้วย สัญญาจ้างรายนี้เป็นสัญญาจ้างทำของ ตามข้อสัญญามิได้เป็นช่องทางให้โจทก์ดำเนินการแจ้งความหรือร้องทุกข์ได้หลายข้อหาเพื่อหวังจะได้ค่าจ้างมากขึ้นตามข้อหาเหล่านั้น เพราะการจะแจ้งความหรือร้องทุกข์กี่ข้อหากี่ครั้ง ย่อมแล้วแต่ความประสงค์ของจำเลยผู้ว่าจ้างว่าจะลงชื่อร้องทุกข์แจ้งความในข้อหาใดหรือไม่ซึ่งโจทก์กำหนดราคาค่าจ้างให้จำเลยทราบก่อนแล้ว สัญญาดังกล่าวจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาส่งเสริมให้จำเลยเป็นความกับบุคคลอื่น ไม่ขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่เป็นโมฆะตามมาตรา 113 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเห็นว่าการที่โจทก์เรียบเรียงคำร้องทุกข์ออกเป็นขั้นตอนนั้น ก็เป็นการกล่าวหาในเรื่องที่ดินจำเลยถูกบุกรุก ประกอบกับเอกสารการจ้างก็มีการเขียนว่าคดีและข้อหา แต่มีการขีดฆ่าคำว่า “คดี” ออกโดยมิได้เซ็นชื่อกำกับไว้ทำให้เห็นเจตนาของจำเลยทั้งสองว่าจำเลยประสงค์จะให้โจทก์ดำเนินการรวมกันไป มิใช่ตกลงค่าจ้างกันเป็นรายข้อหา จำเลยจ้างโจทก์แจ้งความหรือร้องทุกข์เพียงเรื่องเดียว โดยตกลงค่าจ้างให้โจทก์2,000 บาท รวมกับค่าจ้างตามสัญญาจ้างข้อแรกเป็นเงิน 3,500 บาท โจทก์รับชำระไปแล้ว 2,000 บาทจึงมีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยได้อีกเพียง 1,500 บาท

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์อีก 1,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย

Share