แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นพลทหารเกณฑ์อยู่ใต้บังคับบัญชาของสามีจำเลยที่ 2 ก่อนเกิดเหตุสามีจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ไปช่วยงานศพบิดาจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ไปในกิจการของจำเลยที่ 2 ถือได้ว่าจำเลยได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในกิจการนั้น จำเลยที่ 2ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1ขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 6ข-3495 กรุงเทพมหานครของจำเลยที่ 2 ในทางการที่จ้างหรือที่ได้รับมอบหมายด้วยความประมาทชนรถยนต์สาธารณะคันหมายเลขทะเบียน 1ท-1080 กรุงเทพมหานครของโจทก์ได้รับความเสียหาย ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยใช้หรือจ้างวานจำเลยที่ 1 ให้ขับรถยนต์ไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ลักรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ไปขับจนเกิดเหตุดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 60,190 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 7 ตุลาคม2527 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6ข-3495 กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 2 ชนท้ายรถยนต์หมายเลขทะเบียน 1ท-1080 กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ได้รับความเสียหาย คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 2 ในข้อแรกว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 หรือไม่ โจทก์มีนายสวิก เพชรหลำหรือเจริญ เพ็ชรหล้า เป็นพยานรู้เห็นในขณะเกิดเหตุเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุพยานขับรถยนต์ของโจทก์ตามหลังรถยนต์โดยสารสองแถวคันหนึ่งเมื่อถึงบริเวณปากซอยเจริญพัฒนาจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ด้วยความเร็วสูงชนท้ายรถยนต์ของโจทก์ เห็นว่า ร้อยตำรวจโทบรรจง ตนะกุล พนักงานสอบสวนได้รับแจ้งเหตุแล้วไปตรวจดูสถานที่เกิดเหตุทันทีพบคนขับรถยนต์ทั้งสองฝ่ายอยู่ในที่เกิดเหตุ จากการสอบสวนได้ความว่าจำเลยที่ 1 ขับชนท้ายรถยนต์ของโจทก์ ร้อยตำรวจโทบรรจงแจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 1 ว่าขับรถโดยประมาท จำเลยที่ 1 ก็ให้การรับสารภาพแต่โดยดี ร้อยตำรวจโทบรรจงจึงเปรียบเทียบปรับจำเลยที่ 1 เมื่อพิเคราะห์ความเสียหายของรถยนต์โจทก์ตามภาพถ่ายหมาย จ.3 แล้ว ปรากฏว่าได้รับความเสียหายมาก แสดงว่ารถยนต์โจทก์ถูกชนอย่างแรง ประกอบกับจำเลยที่ 2 มิได้นำพยานมาสืบหักล้างว่าคนขับรถยนต์โจทก์มีส่วนประมาทด้วย ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ตามหลังรถยนต์โจทก์ด้วยความเร็วสูง โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น เป็นเหตุให้ชนท้ายรถยนต์โจทก์ได้รับความเสียหายเหตุที่เกิดขึ้นจึงเป็นความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่ฝ่ายเดียวฎีกาจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปนี้ว่า จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์หรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวจำเลยที่ 2เบิกความว่าจำเลยที่ 1 เป็นพลทหารเกณฑ์อยู่ในความปกครองของร้อยเอกก่อเกียรติ โรจนวิภาต สามีจำเลยที่ 2 ก่อนเกิดเหตุสามีจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ไปช่วยงานศพบิดาจำเลยที่ 2อันเจือสมกับคำเบิกความของนายสวิก เพชรหลำ หรือ เจริญ เพ็ชรหล้าคนขับรถยนต์โจทก์ว่าหลังเกิดเหตุได้ต่อว่าจำเลยที่ 1 ขับรถเร็วจำเลยที่ 1 ตอบว่าจะรีบไปซื้อของมาในงานศพเจ้านาย ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นพลทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาของสามีจำเลยที่ 2 หากจำเลยที่ 2 ไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปในกิจธุระของตนแล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 จะถือวิสาสะขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ไปเองโดยพลการ แม้จำเลยที่ 2 จะได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยที่ 1 ลักรถยนต์ของตนไปนั้น ได้ความจากสามีจำเลยที่ 2 ว่ามารดาจำเลยที่ 2 เป็นผู้แนะนำ อันมีพฤติการณ์ให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปเพื่อให้ตนพ้นความรับผิดในทางแพ่งมากกว่า โดยคดีอาญาดังกล่าวอัยการศาลทหารมีคำสั่งไม่ฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานหลักฐานจำเลยที่ 2 น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ไปในกิจการของจำเลยที่ 2ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในกิจการนั้นจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 กระทำไปต่อโจทก์”
พิพากษายืน