คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 259/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 45 จะบัญญัติให้ถือว่าพระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญาก็ดีก็มีแต่เพียงอำนาจสอบสวนอธิกรณ์ และสั่งลงโทษพระภิกษุผู้ล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเท่านั้น หามีอำนาจรับแจ้งความเกี่ยวกับการกระทำผิดอาญา และมีอำนาจสืบสวนสอบสวนคดีอาญาไม่ฉะนั้น จึงไม่ใช่เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172,173

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กล่าววาจาใส่ความดูหมิ่นโจทก์ต่อหน้าบุคคลที่ 3 ว่า โจทก์เข้าห้องส้วมกับพระอธิการบุญเฉพาะ 2 คนเข้าไปทำอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งคำกล่าวนี้น่าจะทำให้โจทก์เสียหาย เสียชื่อเสียงและถูกบุคคลอื่นดูหมิ่นเกลียดชัง และต่อมาจำเลยที่ 1 ได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพระครูวิรุฬห์สุตาภรณ์เจ้าคณะตำบลบางปลาม้าว่าพระอธิการบุญเจ้าอาวาสวัดกกม่วงได้เอานางถนอมเข้าไปในห้องส้วมเฉพาะสองคนแล้วปิดประตู ซึ่งเป็นความเท็จและต่อมาจำเลยที่ 1, 2, 3ได้แจ้งความเท็จต่อพระครูสุนทรธรรมคณี พระครูวิรุฬห์สุตาภรณ์พระครูวิฑิตธรรมสาร พระครูอุทุมพรพิทักษ์ พระครูวาทีธรรมคุณ และพระมหาคำมี ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 45ว่า เห็นโจทก์เข้าห้องส้วมกับพระอธิการบุญเฉพาะสองคน ประมาณ 5-6นาที แล้วก็แลเห็นโจทก์ออกมา ต่อมาพระอธิการบุญก็ออกมา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393, 326, 172, 173, 83

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่ได้กล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ดังฟ้อง สำหรับข้อหาฐานแจ้งความเท็จ พระภิกษุทุกรูปที่โจทก์กล่าวในฟ้องมิใช่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173 แม้ข้อความที่จำเลยแจ้งจะเป็นเท็จ ก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ ไม่จำต้องวินิจฉัย พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า สำหรับความผิดฐานหมิ่นประมาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง โดยอาศัยข้อเท็จจริง ข้อหาฐานนี้เป็นอันถึงที่สุด คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาตามฎีกาโจทก์ว่า การที่จำเลยที่ 1, 2 และ 3 นำความไปแจ้งต่อพระภิกษุผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 45 นั้น หากข้อความที่แจ้งเป็นเท็จจำเลยทั้งสามจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172,173 หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดฐานแจ้งความเท็จดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173 นั้น ข้อความที่แจ้งจะต้องเกี่ยวกับความผิดอาญา และเจ้าพนักงานผู้รับแจ้งความจะต้องเป็นพนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาเท่านั้น ตามข้อเท็จจริงแห่งคดีนี้ฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามร้องเรียนและให้การกล่าวโทษพระอธิการบุญเจ้าอาวาสวัดกกม่วงหาว่าล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ซึ่งมิใช่ความผิดอันจะต้องรับโทษในทางอาญา และมิใช่เป็นการร้องเรียนและให้การกล่าวโทษตัวโจทก์พระครูวิรุฬห์สุตาภรณ์เจ้าคณะตำบลผู้รับแจ้งความจากจำเลยที่ 1 ใน ชั้นต้น และคณะกรรมการผู้ทำการสอบสวนอธิกรณ์อันประกอบด้วยพระสุนทรธรรมคดีเจ้าคณะอำเภอเป็นประธาน แม้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 45 จะบัญญัติให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ก็ดี ก็มีแต่เพียงอำนาจสอบสวนอธิกรณ์และสั่งลงโทษพระภิกษุผู้ล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเท่านั้น หามีอำนาจรับแจ้งความเกี่ยวกับการกระทำผิดอาญาและมีอำนาจสืบสวนสอบสวนคดีอาญาไม่ ฉะนั้น จึงไม่ใช่เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173คดีไม่มีทางลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้างได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share