คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2564/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ขณะที่มีการชำระบัญชีอยู่บริษัท ท. ยังเป็นหนี้ค่าภาษีอากรค้างกรมสรรพากรโจทก์อยู่จำนวนหนึ่ง เนื่องจากเสียภาษีอากรไม่ถูกต้องครบถ้วน การที่ผู้ชำระบัญชีของบริษัท ท. แบ่งเงินอันเป็นสินทรัพย์ที่เหลืออยู่ของบริษัทให้แก่จำเลยไป ไม่ว่าจำเลยจะรับไว้โดยสุจริตหรือไม่ ก็เป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1269 ถือได้ว่าจำเลยได้รับเงินส่วนแบ่งมาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้จึงถือว่าเป็นลาภมิควรได้ที่จำเลยจำต้องคืนให้แก่บริษัท ท. ผู้เป็นเจ้าของเงินตามมาตรา 406
บริษัท ท. หรือผู้ชำระบัญชีมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยคืนเงิน ส่วนแบ่งซึ่งเป็นสินทรัพย์ของบริษัท ท. ในฐานลาภมิควรได้และหากบริษัท ท. ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องหรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องนั้น เป็นเหตุให้กรมสรรพากรโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ค่าภาษีอากรค้างต้องเสียประโยชน์ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนบริษัท ท. ลูกหนี้ได้โดยโจทก์จะต้องขอหมายเรียกบริษัท ท. เข้ามาในคดีด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233 และมาตรา 234แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า โจทก์ฟ้องคดีแทนบริษัท ท. เพราะบริษัท ท. ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินส่วนแบ่งที่จำเลยรับไปโดยมิชอบหรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง รวมทั้งโจทก์มิได้ขอหมายเรียกบริษัทดังกล่าวซึ่งเป็นลูกหนี้โดยตรงของโจทก์เข้ามาในคดี จึงต้องถือว่าเป็นการฟ้องเรียกให้จำเลยคืนเงินส่วนแบ่งสินทรัพย์ที่ได้รับจากผู้ชำระบัญชีโดยมิชอบให้แก่โจทก์เองโดยตรง ซึ่งโจทก์หามีอำนาจที่จะฟ้องจำเลยเช่นนั้นไม่ เนื่องจากจำเลยไม่มีหน้าที่ทางนิติกรรมหรือตามกฎหมายที่จะต้องคืนเงินสินทรัพย์ของบริษัท ท. ที่ตนได้รับไว้คืนให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมในรัฐบาลมีหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรตามกฎหมาย จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้น ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทแลนดิ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัททิพยนานันท์จำกัด ต่อมาได้เลิกประกอบกิจการและมีการชำระบัญชีซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม2536 นายทะเบียนก็ได้รับจดทะเบียนเลิกบริษัทให้ตามคำขอของผู้ชำระบัญชีแล้ว ในการชำระบัญชีดังกล่าว นายแสงสุภาพ เครือสินธุ์ ผู้ชำระบัญชีได้แบ่งคืนเงินสินทรัพย์ของบริษัทดังกล่าวจำนวน 7,555,553.87 บาท ที่เหลืออยู่แก่จำเลยทั้งเจ็ดซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นโดยแบ่งคืนให้จำเลยแต่ละคนดังนี้ จำเลยที่ 1 จำนวน 6,970,100 บาท จำเลยที่ 2และที่ 3 จำนวนคนละ 148,300 บาท จำเลยที่ 4 จำนวน 44,490 บาท จำเลยที่ 5และที่ 6 จำนวนคนละ 14,830 บาท และจำเลยที่ 7 จำนวน 74,150 บาท ในระหว่างการชำระบัญชี เจ้าพนักงานของโจทก์ตรวจสอบพบว่าบริษัททิพยนานันท์ จำกัด เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีการค้าและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายสำหรับปีภาษี 2532 ถึง 2534 ไม่ถูกต้องจึงมีคำสั่งประเมินภาษีดังกล่าวโดยให้ผู้ชำระบัญชีของบริษัทดังกล่าวชำระเพิ่มอีกจำนวน 13,601,755.34 บาท แต่ผู้ชำระบัญชีเพิกเฉยไม่นำเงินค่าภาษีอากรค้างไปชำระให้โจทก์ การที่ผู้ชำระบัญชีของบริษัททิพยนานันท์จำกัด แบ่งสินทรัพย์ของบริษัทให้แก่จำเลยทั้งเจ็ด จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1250, 1269 จำเลยทั้งเจ็ดจึงต้องเอาเงินสินทรัพย์ส่วนแบ่งที่ได้รับจากผู้ชำระบัญชีคืนโจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าภาษีอากรที่บริษัททิพยนานันท์ จำกัด ค้างชำระแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดคืนเงินสินทรัพย์ส่วนแบ่งที่ได้รับดังกล่าวให้แก่โจทก์

จำเลยทั้งเจ็ดให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดต่อศาลชั้นต้นเพราะเป็นคดีเกี่ยวกับค่าภาษีอากรต้องฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลาง จำเลยที่ 1 ได้รับเงินสินทรัพย์ส่วนแบ่งมาโดยชอบ เพราะขณะนั้นโจทก์ยังไม่มีคำสั่งประเมินภาษีอากรเพิ่มเติมแก่บริษัททิพยนานันท์ จำกัด การประเมินภาษีของโจทก์ตามฟ้องไม่ถูกต้องเพราะโจทก์เองยังอยู่ระหว่างดำเนินการฟ้องเรียกค่าภาษีอากรค้างดังกล่าวจากบริษัททิพยนานันท์ จำกัด ซึ่งคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลภาษีอากรกลางตามคดีหมายเลขดำที่ 81/2538 เมื่อศาลภาษีอากรกลางยังมิได้มีคำวินิจฉัย โจทก์ยังไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดให้คืนเงินสินทรัพย์ส่วนแบ่งให้โจทก์เพื่อชำระค่าภาษีอากรดังกล่าว ก่อนฟ้องคดีนี้ จำเลยทั้งเจ็ดสำคัญผิดว่าต้องรับผิดชำระค่าภาษีอากรค้างจำนวนตามฟ้องแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 จึงชำระภาษีอากรให้โจทก์ไปแล้วเป็นเงินจำนวน 2,620,000 บาทส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ได้ชำระภาษีอากรจำนวนที่โจทก์ฟ้องให้แก่โจทก์ไปครบถ้วนแล้วการที่โจทก์ยื่นฟ้องบริษัททิพยนานันท์ จำกัด เรียกค่าภาษีอากรค้างต่อศาลภาษีอากรกลางตามคดีหมายเลขดำที่ 81/2538 ซึ่งคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลภาษีอากรกลาง ขณะเดียวกันโจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้นอีกเพื่อให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้รายเดียวกัน จึงเป็นการฟ้องในเรื่องเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีโจทก์ขาดอายุความแล้วเพราะโจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 2 ปี นับแต่วันที่20 กุมภาพันธ์ 2536 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดแห่งการชำระบัญชี ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7เนื่องจากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ได้ชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ศาลชั้นต้นอนุญาตและมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ออกจากสารบบความ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 ได้รับเงินส่วนแบ่งสินทรัพย์จากผู้ชำระบัญชีเป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ เงินดังกล่าวจึงเป็นลาภมิควรได้ แต่การที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ค่าภาษีอากรค้างของบริษัททิพยนานันท์ จำกัด จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องของบริษัทดังกล่าวเรียกเงินคืนจากจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233 โดยโจทก์จะต้องร้องขอให้เรียกผู้ชำระบัญชีของบริษัททิพยนานันท์ จำกัด ซึ่งเป็นลูกหนี้ของตนเข้ามาในคดีด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 234 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) หรือฟ้องลูกหนี้เข้ามาในคดีเสียแต่แรก โจทก์จะดำเนินคดีลำพังหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องหรือร้องขอดังกล่าว ศาลย่อมไม่อาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้โดยตรงแก่โจทก์ได้ กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นอีกต่อไป พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัททิพยนานันท์จำกัด ได้รับเงินส่วนแบ่งสินทรัพย์จากบริษัทดังกล่าวซึ่งเป็นลูกหนี้ของโจทก์ไป ในขณะที่โจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้ ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1269จึงเป็นการรับสินทรัพย์ของบริษัทดังกล่าวไปโดยมิชอบ โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิติดตามเอาสินทรัพย์ดังกล่าวคืนจากจำเลยที่ 1 ได้ในฐานะลาภมิควรได้ตามมาตรา 406 และคดีนี้มิใช่เป็นการฟ้องเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระภาษีอากรโดยตรง จึงชอบที่โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้น (ศาลแพ่งกรุงเทพใต้) ได้ บริษัททิพยนานันท์ จำกัด มีหนี้ค่าภาษีอากรค้างแก่โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้อง และคดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยที่ 1คืนเงินส่วนแบ่งสินทรัพย์ที่เหลืออีกจำนวน 4,350,000 บาท แก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นที่ยุติได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นของบริษัทแลนดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด ต่อมาได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัททิพยนานันท์ จำกัด ต่อมาปี 2535 บริษัททิพยนานันท์จำกัด ได้เลิกประกอบกิจการและแต่งตั้งให้นายแสงสุภาพ เครือสินธุ์ เป็นผู้ชำระบัญชีและผู้ชำระบัญชีได้แบ่งคืนเงินสินทรัพย์ของบริษัทที่เหลืออยู่จำนวน 7,555,553.87บาท ให้แก่จำเลยทั้งเจ็ดซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทดังกล่าวตามส่วน โดยจำเลยที่ 1ได้รับเงินส่วนแบ่งจำนวน 6,970,100 บาท แล้วนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีและเลิกบริษัทให้ตามคำขอของผู้ชำระบัญชีเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม2536 ก่อนเสร็จการชำระบัญชีดังกล่าว โจทก์เริ่มตรวจสอบการเสียภาษีของบริษัททิพยนานันท์ จำกัด พบว่าบริษัทดังกล่าวยังเสียภาษีอากรไม่ถูกต้องครบถ้วน จึงได้ทำการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีการค้าและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายสำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 2532 ถึง 2534 พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 13,601,755.34 บาท ซึ่งบริษัททิพยนานันท์ จำกัด ต้องชำระเพิ่มเติมแก่โจทก์โดยโจทก์ได้แจ้งการประเมินค่าภาษีอากรดังกล่าว ให้ผู้ชำระบัญชีของบริษัททิพยนานันท์จำกัด ทราบเมื่อเดือนธันวาคม 2537 แต่ผู้ชำระบัญชีไม่ชำระโจทก์จึงฟ้องบริษัททิพยนานันท์ จำกัด ให้ชำระหนี้ค่าภาษีอากรที่ค้างชำระดังกล่าวต่อศาลภาษีอากรกลางและฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2538 ต่อมาวันที่ 23 พฤศจิกายน 2538 ศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษาให้บริษัททิพยนานันท์ จำกัด ชำระเงินค่าภาษีอากรที่ค้างชำระดังกล่าวพร้อมเงินเพิ่มจำนวน 14,074,319.75 บาท แก่โจทก์ คดีถึงที่สุด เมื่อโจทก์ทวงถามหนี้ค่าภาษีอากรค้างดังกล่าวไปยังจำเลยทั้งเจ็ด จำเลยทั้งเจ็ดได้นำส่วนแบ่งสินทรัพย์ได้รับจากผู้ชำระบัญชีไปชำระให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ยอมชำระเงินส่วนแบ่งสินทรัพย์ที่แต่ละคนได้รับมาทั้งหมดให้แก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 1 ยอมชำระให้แก่โจทก์เพียง 2,620,100 บาท คงเหลือเงินส่วนแบ่งสินทรัพย์อีกจำนวน 4,350,000บาท ที่จำเลยที่ 1 ยังมิได้ชำระให้แก่โจทก์ โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกเงินจำนวนดังกล่าวคืนจากจำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1269 ได้บัญญัติไว้ว่า “อันทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนหรือของบริษัทนั้น จะแบ่งคืนให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นได้แต่เพียงเท่าที่ไม่ต้องเอาไว้ใช้ในการชำระหนี้ของหุ้นส่วนหรือบริษัทเท่านั้น” เมื่อปรากฏว่าขณะที่มีการชำระบัญชีอยู่นั้น ความจริงแล้วบริษัททิพยนานันท์ จำกัด ยังเป็นหนี้ค่าภาษีอากรค้างแก่โจทก์อยู่จำนวนหนึ่ง เนื่องจากบริษัทดังกล่าวเสียภาษีอากรสำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 2532 ถึง 2534 ยังไม่ถูกต้องครบถ้วน ดังนั้นที่ผู้ชำระบัญชีของบริษัททิพยนานันท์ จำกัด แบ่งเงินอันเป็นสินทรัพย์ที่เหลืออยู่ของบริษัทให้แก่จำเลยที่ 1 ไป ไม่ว่าจำเลยที่ 1 จะรับไว้โดยสุจริตหรือไม่ก็ตาม ก็เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับเงินส่วนแบ่งสินทรัพย์ของบริษัททิพยนานันท์ จำกัด มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ เงินส่วนแบ่งสินทรัพย์ดังกล่าวจึงถือว่าเป็นลาภมิควรได้ที่จำเลยที่ 1 จำต้องคืนให้แก่บริษัททิพยนานันท์ จำกัด ผู้เป็นเจ้าของเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 406 หรือกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า บริษัททิพยนานันท์ จำกัด หรือผู้ชำระบัญชีของบริษัทดังกล่าวมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 คืนเงินส่วนแบ่งซึ่งเป็นสินทรัพย์ของบริษัทดังกล่าวให้แก่บริษัทดังกล่าวในฐานลาภมิควรได้และหากปรากฏว่าบริษัททิพยนานันท์จำกัด โดยผู้ชำระบัญชีขัดขืน ไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องหรือเพิกเฉยเสีย ไม่ใช้สิทธิเรียกร้องนั้น เป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ค่าภาษีอากรค้างต้องเสียประโยชน์ไซร้ โจทก์ก็มีสิทธิที่จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้น ในนามของตนเองแทนบริษัททิพยนานันท์ จำกัด ลูกหนี้ได้โดยโจทก์จะต้องขอหมายเรียกบริษัททิพยนานันท์ จำกัด เข้ามาในคดีด้วย ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233 และมาตรา 234 แต่คดีนี้ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ เห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องแทนบริษัททิพยนานันท์ จำกัด เพราะบริษัททิพยนานันท์ จำกัด โดยนายแสงสุภาพ ผู้ชำระบัญชีได้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 คืนเงินส่วนแบ่งที่จำเลยที่ 1 รับไปโดยมิชอบแก่บริษัททิพยนานันท์ จำกัด หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวแต่อย่างใด รวมทั้งโจทก์มิได้ขอหมายเรียกบริษัทดังกล่าวซึ่งเป็นลูกหนี้โดยตรงของโจทก์เข้ามาในคดีนี้ตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น คำฟ้องโจทก์คดีนี้จึงต้องถือว่าเป็นการฟ้องเรียกให้จำเลยที่ 1 คืนเงินส่วนแบ่งสินทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากผู้ชำระบัญชีโดยมิชอบให้แก่โจทก์เองโดยตรง ซึ่งโจทก์หามีอำนาจที่จะฟ้องจำเลยที่ 1 เช่นนั้นไม่ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่ทางนิติกรรมหรือมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องคืนเงินสินทรัพย์ของบริษัททิพยนานันท์ จำกัด ที่ตนได้รับไว้คืนให้แก่โจทก์แต่อย่างใดจึงชอบที่ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังขึ้น ปัญหาประการอื่นตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกต่อไป เพราะไม่อาจทำให้ผลของคำพิพากษานี้เปลี่ยนแปลงไปได้”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องคดีใหม่ให้ถูกต้องภายในกำหนดอายุความ

Share