คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 256/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจะฟ้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอมไม่ได้ก็ตาม แต่ถ้าตามฟ้องของโจทก์เห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้แสดงว่า คำพิพากษาตามยอมนั้นจะบังคับเอาจากกองมรดกซึ่งโจทก์เป็นผู้รับมรดกด้วยไม่ได้ เพราะถ้าบังคับเอาจากกองมรดกแล้ว ทำให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งมรดกน้อยลงกว่าที่ควรจะได้รับ เช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องคดีดังกล่าวได้
(ประชุมใหญ่ ครั้ง 28/2503)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นบุตรนายชำนาญ คุณาไทย กับนางเจียม นางเยาวภา จำเลยที่ ๑ เป็นภริยาของนายชำนาญเจ้ามรดก ระหว่างเจ้ามรดกยังมีชีวิตอยู่ได้เคยทำหนังสือกู้เงินจำเลยที่ ๒ ไปสองคราวและชำระให้หนึ่งรายแล้ว คงค้างแต่ราย ๓๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น เมื่อนายชำนาญตาย จำเลยที่ ๒ ได้มาฟ้องเรียกเงินกู้ทั้ง ๒ รายจากจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้รับมรดกและในที่สุดจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้ต่อหน้าศาลยอมใช้หนี้เงินกู้ทั้งสองรายและดอกเบี้ยอีก ๖๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๔๐,๐๐๐ บาท ให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งศาลได้พิพากษาไปตามยอมแล้ว ซึ่งความจริงจำเลยทั้งสองรู้ดีว่าหนี้สินระหว่างนายชำนาญกับจำเลยที่ ๒ มีอยู่เพียง ๓๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น จำเลยทั้งสองสมคบกันทำกลฉ้อฉลเพื่อเบียดบังและฉ้อโกงในการที่โจทก์จะได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกของนายชำนาญบิดาโจทก์ให้น้อยลงกว่าความเป็นจริงที่ควรได้รับตามกฎหมาย จึงขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมหากศาลเชื่อว่ายังมิได้ชำระหนี้ทั้งสองราย ก็ขอให้พิพากษาเพิกถอนเฉพาะส่วนดอกเบี้ยที่เกิน
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ไม่มีอำนาจจะนำคดีมาฟ้องให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนได้ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ได้บรรยายในฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยที่ ๒ ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ในฐานะเป็นผู้รับมรดกนายชำนาญเรียกหนี้สินโดยอ้างว่านายชำนาญขณะยังมีชีวิตได้เป็นลูกหนี้เงินกู้จำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๑๔๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาประนีประนอมใช้หนี้ตามนั้น ศาลก็ได้พิพากษาตามยอมไปแล้ว ซึ่งความจริงนายชำนาญไม่ได้เป็นลูกหนี้จำเลยที่ ๒ มากมายถึงเพียงนั้น จำเลยทั้งสองได้สมคบร่วมกันทำกลฉ้อฉลเพื่อเบียดบังและฉ้อโกงในการที่โจทก์จะได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกของนายชำนาญบิดาโจทก์ให้น้อยลงกว่าความเป็นจริงที่ควรจะได้รับตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียเปรียบที่จะได้รับมรดกของนายชำนาญน้อยลง ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า แม้โจทก์จะฟ้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาของศาลที่พิพากษาตามยอมไปนั้นไม่ได้ แต่ตามฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์นั้นเอง ย่อมแสดงให้เห็นได้ในตัวแล้วว่า โจทก์ประสงค์ให้แสดงว่าคำพิพากษาตามยอมนั้นจะบังคับเอาจากกองมรดกซึ่งโจทก์เป็นผู้รับมรดกรายนี้อยู่ด้วยไม่ได้ เพราะถ้าคำพิพากษาตามยอมบังคับเอาจากกองมรดกแล้ว สิทธิของโจทก์ในฐานะที่เป็นผู้รับมรดกรายนี้ย่อมถูกกระทบกระเทือน คือทำให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งมรดกน้อยลงกว่าที่ควรจะได้รับ ฉะนั้น โจทก์จึงมีสิทธิที่จะฟ้องคดีนี้ขอให้ศาลแสดงว่าคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งแดงที่ ๒๐๔/๒๕๐๒ ไม่อาจบังคับเอาจากกองมรดกของนายชำนาญบิดาโจทก์ได้ ส่วนคำพิพากษาตามยอมระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จะคงผูกพันจำเลยทั้งสองอยู่หรือไม่ หรือจะบังคับกันอย่างใด เป็นเรื่องของจำเลย แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นยังไม่ได้ทำการสืบพยานโจทก์จำเลย
พิพากษาแก้ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปตามกระบวนความแล้วพิพากษาใหม่

Share