คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2544/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยานยืนยันว่าจำเลยร่วมกับพวกเป็นคนร้ายที่ปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย ที่ผู้เสียหายแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมและให้การในชั้นสอบสวนต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยร่วมกับพวกปล้นทรัพย์นั้น ล้วนแต่เป็นเพียงคำบอกเล่ามีน้ำหนักน้อยพยานหลักฐานของโจทก์จึงยังไม่มั่นคงพอที่จะให้ฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 340ที่แก้ไขแล้ว และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ จำนวน 1,209 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสองให้จำคุก 10 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 1,209 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาว่าคดีโจทก์รับฟังลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ได้หรือไม่ โจทก์คงมีร้อยตำรวจโทประลอง นาคนวม ผู้จับกุมจำเลย และร้องยตำรวจโทสง่ายอดแก้ว พนักงานสอบสวน เป็นพยาน ร้อยตำรวจโทประลอง เบิกความว่าขณะนั่งรถสายตรวจออกตรวจไปตามถนนเจษฎางค์ เห็นผู้เสียหายวิ่งไล่กวดชายสองคนไป เมื่อผู้เสียหายชี้บอกว่าชายสองคนนั้นเอานาฬิกาของผู้เสียหายไป ร้อยตำรวจโทประลองลงจากรถวิ่งไล่ติดตามชายสองคนและจับได้คนหนึ่ง คือ จำเลย เมื่อจับจำเลยแล้วผู้เสียหายบอกร้อยตำรวจโทประลองว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งที่เข้ามารัดคอผู้เสียหาย ร้อยตำรวจโทสง่าเบิกความว่าหลังจากรับตัวจำเลยไว้ดำเนินคดีแล้ว ได้สอบสวนผู้เสียหายเป็นพยาน ได้บันทึกคำให้การไว้ตามเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งตามบันทึกดังกล่าวผู้เสียหายให้การว่าขณะที่เดินกลังจากบ้านเพื่อนที่หลังวัดป้อม เพื่อจะมาเที่ยวงานที่หน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร มีคนร้ายสามคน คนหนึ่งคือจำเลยเดินสวนทางมา จำเลยตรงเข้าใช้มือล็อคคอผู้เสียหาย แล้วพวกจำเลยปลดเอานาฬิกาข้อมือ และล้วงเอาเงินสดในกระเป๋ากางเกงของผู้เสียหายแล้วพากันวิ่งหลบหนี ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยจะเป็นชายคนหนึ่งในจำนวนสองคนที่ถูกผู้เสียหายวิ่งไล่ติดตามแต่แรกหรือไม่ ยังมีเหตุน่าสงสัยอยู่ เพราะร้อยตำรวจโทประลองว่าในคืนเกิดเหตุ มีงานที่หน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร มีคนเดินพลุกพล่านที่บริเวณวัดป้อมที่วิ่งไล่ติดตามชายสองคนไปนั้นบางจุดก็คลาดสายตากับชายทั้งสองบ้างประกอบกับคดีนี้โจทก์ก้ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยานยืนยันว่าจำเลยร่วมกับพวกเป็นคนร้ายรายนี้ ที่ผุ้เสียหายแจ้งต่อร้อยตำรวจโทประลองและให้การในชั้นสอบสวนต่อร้อยตำรวจโทสง่าว่าจำเลยร่วมกับพวกปล้นทรัพย์นั้น ล้วนแต่เป็นเพียงคำบอกเล่ามีน้ำหนักน้อยพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังไม่มั่นคงพอที่จะให้ฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share