แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์ซื้อที่ดินมาโดยมิได้ทำประโยชน์ บางแปลงซื้อทิ้งไว้เกือบสิบปี บางแปลงซื้อมาไม่กี่เดือนก็ขายไป บางแปลงมีการปรับปรุงที่ดินให้ดีขึ้นเพื่อขายให้ได้ราคาและปรากฏว่าโจทก์มีการซื้อและขายที่ดินทุกปี ตามพฤติการณ์ฟังได้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินมาและขายไป โดยมุ่งในทางการค้าหากำไร โจทก์จึงต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้า.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงและไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้พิพากษาว่าการประเมินภาษีเงินได้และภาษีการค้าของเจ้าพนักงานประเมินกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายและงดเพิ่มภาษีกับเบี้ยปรับแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่วินิจฉัยให้โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีการค้า รวมทั้งเบี้ยปรับเงินเพิ่มและภาษีบำรุงเทศบาล ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทเกียรตินันทวัฒน์ จำกัด โจทก์เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3671 เลขที่ 11204 เลขที่ 62811 เลขที่ 372 เลขที่ 483เลขที่ 957 เลขที่ 1472 เลขที่ 71847 ถึง 71849 เลขที่ 70983และเลขที่ 70984 รวม 12 โฉนด ต่อมาเมื่อปี 2521 โจทก์ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินทั้ง 12 โฉนด ดังกล่าวให้แก่บุคคลต่าง ๆ โดยโจทก์มิได้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าสำหรับเงินได้จากการขายที่ดินดังกล่าว โดยอ้างว่าโจทก์ไม่มีเงินได้จากการขายที่ดิน 7 โฉนดแรกดังกล่าว เพราะโจทก์เป็นเพียงผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแทนบริษัทเกียรตินันทวัฒน์ จำกัด ขายที่ดินแทนบริษัทแล้วนำเงินได้จากการขายไปชำระหนี้ของบริษัท เจ้าพนักงานประเมินหมายเรียกโจทก์มาตรวจสอบไต่สวนแล้วฟังว่าเป็นที่ดินของโจทก์และเป็นการขายทรัพย์สินอันเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ต้องเสียภาษีเงินได้และภาษีการค้า จึงแจ้งการประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้ 1,780,272.62 บาท เงินเพิ่ม 356,054.52บาท เสียภาษีการค้า 299,761 บาท เบี้ยปรับ 600,922 บาท เงินเพิ่ม293,238.54 บาท และภาษีบำรุงเทศบาล 119,392.15 บาท โจทก์อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินชอบแล้ว แต่มีเหตุอันควรผ่อนผัน จึงพิจารณาลดเงินเพิ่มของภาษีเงินได้คงเหลือเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเงินเพิ่ม และลดเบี้ยปรับของภาษีการค้าคงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับโจทก์จึงนำเงินภาษีอากรรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 2,941,106.39 บาทไปชำระให้แก่จำเลยที่ 1 แล้วมาฟ้องเป็นคดีนี้ สำหรับบริษัทเกียรตินันทวัฒน์ จำกัด ไม่ปรากฏว่ามีการเสียภาษีเนื่องจากการขายที่ดินทั้ง 12 โฉนดดังกล่าว
ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เป็นไปโดยชอบหรือไม่คดีจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนบริษัทแต่เป็นของโจทก์เอง
ปัญหาต่อไปมีว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่ได้มาและขายไปโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรหรือไม่ เห็นว่า ที่ดินทั้ง 12 โฉนดโจทก์ซื้อมาโดยมิได้ทำประโยชน์ในที่ดิน บางแปลงซื้อทิ้งไว้เกือบสิบปี บางแปลงซื้อมาไม่กี่เดือนก็ขายไป บางแปลงมีการปรับปรุงที่ดินให้ดีขึ้นเพื่อขายให้ได้ราคา ทั้งปรากฏว่าโจทก์มีการซื้อและขายที่ดินทุกปีตามพฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินทั้ง 12 โฉนดมาและขายไปโดยมุ่งในทางการค้าหากำไร โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าประเภทค้าอสังหาริมทรัพย์ และได้ขายทรัพย์ที่ได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร กรณีไม่เข้าข่ายที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้และภาษีการค้าตามความในมาตรา 42(9) แห่งประมวลรัษฎากร และบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้าที่ 11 โจทก์จึงต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้า…”
พิพากษายืน.