คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2518/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยตกลงขายที่ดินให้โจทก์นำไปจัดสรรขาย โดยอนุญาตให้โจทก์เข้าไปดำเนินการแบ่งแยกเป็นแปลงย่อยและขายที่ดินที่แบ่งแยกได้ เพื่อนำเงินมาชำระราคาที่ดินให้จำเลย เมื่อชำระครบถ้วนแล้วจำเลยจะไปทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ ดังนี้ สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเข้าหุ้นกันจัดสรรที่ดินขาย โดยโจทก์ลงทุนปรับปรุงที่ดินจำเลยลงทุนเป็นที่ดิน จำเลยผิดสัญญาโจทก์จึงฟ้องเรียกเงินที่ลงทุนไปคืน ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาซื้อขายซึ่งตกเป็นโมฆะ ให้จำเลยคืนเงินค่าที่ดินที่โจทก์ชำระไปแล้ว เป็นการพิพากษานอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
นิติกรรมอันเป็นโมฆะที่คู่กรณีกลับคืนยังฐานะเดิม จะต้องเป็นนิติกรรมที่เป็นโมฆียะแล้วมีการบอกล้าง มิใช่นิติกรรมที่เป็นโมฆะมาแต่แรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเข้าหุ้นกันจัดสรรที่ดินขายโดยโจทก์ลงทุนปรับปรุงที่ดิน จำเลยลงทุนเป็นที่ดิน จำเลยผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าใช้จ่ายที่โจทก์เสียไประหว่างเข้าหุ้นและดอกเบี้ยรวม ๒๓๑,๘๗๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ไม่เคยเข้าหุ้นส่วนกับโจทก์ จำเลยตกลงขายที่ดินให้โจทก์แต่โจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระราคาที่ดินตามที่ตกลงกันและบอกเลิกสัญญาแล้ว จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าที่ดินและค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินที่โจทก์ออกเป็นค่าใช้จ่ายในการเข้าหุ้นจัดสรรที่ดินจำนวน ๒๑๓,๒๑๕ บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐บาท ที่โจทก์จ่ายเป็นค่าที่ดินคืนให้แก่โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยตกลงจะขายที่ดิตามฟ้องให้โจทก์เพื่อให้โจทก์นำไปจัดสรรขายและอนุญาตให้โจทก์เข้าไปดำเนินการจัดสรรเมื่อชำระค่าที่ดินงวดแรกแล้วและอนุญาตให้โจทก์ขายที่ดินที่จัดแบ่งเป็นแปลงย่อยได้ เพื่อนำเงินมาชำระค่าที่ดินให้จำเลย จำเลยจะทำนิติกรรมและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้โจทก์เมื่อชำระค่าที่ดินครบถ้วนตามที่ได้ตกลงกันไว้ซึ่งเข้าลักษณะเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน เงิน ๒๓๑,๘๗๐ บาทที่โจทก์ฟ้องว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสรรที่ดินนั้น ฟังได้ว่าโจทก์จ่ายให้ผู้อื่นเป็นค่าจ้างไถปรับที่ดินวางท่อระบายน้ำและเขียนแบบแปลนและแผนที่แสดงอาณาเขตที่ดินที่จัดสรรเป็นเงิน๑๓๑,๘๗๐ บาทเท่านั้น ส่วนอีก ๑๐๐,๐๐๐ บาท เป็นค่าที่ดินที่จำเลยชำระให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน เมื่อนิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแล้ว โจทก์จะเรียกเอาค่าใช้จ่ายในการที่ตนนำที่ดินอันเป็นวัตถุแห่งสัญญาไปจัดสรรขายจากจำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินหาได้ไม่ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณพิพากษาให้จำเลยคืนเงินค่าที่ดิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์โดยให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่า นิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นการซื้อขายที่ดินเสร็จเด็ดขาดและเป็นโมฆะเพราะมิได้ทำเป็นหนังสือทั้งสองฝ่ายต้องคืนสู่สถานะ (ฐานะ) เดิม ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยเพราะนอกจากจะเป็นการพิพากษานอกไปจากที่ปรากฏในคำฟ้องแล้วยังเห็นว่านิติกรรมที่เป็นโมฆะมาแต่แรก กฎหมายหาได้บัญญัติถึงการให้คู่กรณีกลับคืนยังฐานะเดิมไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๘ นิติกรรมอันเป็นโมฆะที่คู่กรณีกลับคืนยังฐานะเดิมจะต้องเป็นนิติกรรมที่เป็นโมฆียะแล้วมีการบอกล้าง แต่จำเลยมิได้ฎีกาขึ้นมากลับแก้ฎีกาขอให้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่เห็นสมควรที่จะพิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่ให้จำเลยคืนค่าที่ดินให้โจทก์
พิพากษายืน

Share