คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2505/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยได้ครอบครองทำกินในที่ดิน ส.ค.1 ของ ล. ผู้เป็นมารดามากว่า 20 ปี แล้วจำเลยได้ขายที่ดินดังกล่าวบางส่วนให้แก่โจทก์และโจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินนั้นต่อมาเป็นเวลา6-7 ปี โดย ล. ซึ่งทราบเรื่องการซื้อขายแล้ว มิได้โต้แย้งคัดค้านแต่ประการใด เท่ากับ ล. สละการครอบครองที่ดินให้แก่จำเลย เมื่อจำเลยนำที่ดินไปขายให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยย่อมไม่มีสิทธิเข้าไปรบกวนการครอบครองของโจทก์ ที่ดินที่ซื้อขายเพียง ส.ค.1 ไม่อาจโอนกันได้โดยการแสดงเจตนาทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ศาลจะบังคับให้โอนทางทะเบียนหาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2520 จำเลยทำหนังสือสัญญาขายที่ดิน มี ส.ค.1 ให้โจทก์ 1 แปลง ราคา 4,000 บาท โดยจะไปทำนิติกรรมแบ่งที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ภายในกำหนด 7 วัน โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่วันทำสัญญาจนถึงปัจจุบันเมื่อเดือนธันวาคม 2526 นางลั่น อินทรักษ์ มารดาจำเลยยื่นคำขอรังวัดขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ครอบคลุมถึงที่ดินแปลงพิพาทเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์ได้ยื่นคำคัดค้านแล้วและมีหนังสือแจ้งให้จำเลยไปทำนิติกรรม แบ่งแยกที่ดินเพื่อให้โจทก์ได้รับเอกสารสิทธิในการครอบครอง แต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับให้ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยทำนิติกรรมแบ่งแยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้โจทก์ มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายจริงแต่มิได้มีเจตนาขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ หากแต่ทำเพื่อประกันหนี้เงินกู้ไว้กับโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกและโอนที่ดินตามฟ้องโจทก์หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับห้ามบริวารเข้าเกี่ยวข้องรบกวนการครอบครองของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีได้ความจากคำเบิกความของจำเลยว่าหลังจากทำหนังสือสัญญาซื้อขายแล้ว โจทก์นำดินไปถมที่ดินพิพาทและทำรั้วรอบที่ดินดังกล่าว ทั้งยังนำต้นมะพร้าวไปปลูกในที่ดินนั้นประมาณ 3-4 ต้น ขณะนี้ก็ยังมีอยู่นายคล้อย กองจางวาง พยานจำเลยเบิกความว่า ที่ดินพิพาทมีการถมดินแล้ว มีต้นมะพร้าวประมาณ 5 ต้นเก็บผลกินได้แล้ว คำของจำเลยและพยานจำเลยดังกล่าวจึงเจือสมกับข้อนำสืบของโจทก์ นอกจากนี้ตามหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมายจ.1 ข้อ 1 ตอนท้ายก็มีใจความว่า จำเลยยินยอมให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินได้ตั้งแต่วันทำหนังสือสัญญานั้นด้วย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ต่อไปอีกว่าหลังจากซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยแล้วประมาณ 3เดือน โจทก์ได้ถมดิน ล้อมรั้ว และปลูกผักทำสวนครัวในที่ดินพิพาทต่อมายังได้ปลูกต้นมะพร้าวดังที่โจทก์นำสืบ ซึ่งถ้านับถึงปีพ.ศ. 2526 อันมีกรณีพิพาทเกิดขึ้นเนื่องจากจำเลยหวนกลับเข้าไปปลูกข้าวในที่ดินพิพาทแล้วโจทก์ถอนต้นข้าวนั้นทิ้ง ก็เป็นระยะเวลาทีโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาประมาณ 6-7 ปีแล้ว และโดยที่ปรากฏจากคำเบิกความของนายห้วง รอดระกำ พยานจำเลยซึ่งเป็นสามีจำเลยว่า นายห้วงกับจำเลยทำกินในที่ดินพิพาทมาเป็นเวลา 27 ปี และคำเลิกความของนายผ่อง ไพโรจน์ กับนายส่วน ทวีทองพยานโจทก์โดยจำเลยไม่นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นว่า ระยะที่จำเลยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ นางลั่น มารดาจำเลยก็อยู่ที่บ้านจำเลย แม้ต่อมาจะไปอยู่ที่บ้านนางเอี้ยวพี่สาวจำเลย แต่บ้านนางเอี้ยวก็อยู่ในหมู่ที่ 6 อันเป็นหมู่บ้านเดียวกันกับที่บ้านของจำเลยและที่ดินพิพาทตั้งอยู่ดังนั้น นางลั่นจึงต้องทราบถึงเรื่องที่โจทก์ได้เข้าครอบครองทำกินในที่ดินพิพาท แม้ที่ดินพิพาทจะเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม ส.ค.1 เอกสารหมาย ล.1 ซึ่งมีชื่อนางลั่นเป็นเจ้าของแต่พฤติการณ์ที่จำเลยได้ทำกินในที่ดินพิพาทมากว่า 20 ปี แล้วขายให้แก่โจทก์ และโจทก์ได้ล้อมรั้วเข้าครอบครองทำกินในที่นั้นต่อมาเป็นเวลาถึง 6-7 ปี โดยนางลั่นไม่โต้แย้งคัดค้านเช่นนี้ จึงเชื่อได้ว่านางลั่นได้สละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยผู้เป็นบุตรและทราบเรื่องที่จำเลยขายที่ดินนั้นให้โจทก์แล้ว มิฉะนั้นนางลั่นก็ต้องโต้แย้งคัดค้านการเข้าครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์อย่างแน่นอนคงไม่ปล่อยให้โจทก์เข้าครอบครองนานถึง 6-7 ปี เช่นนี้ นอกจากนี้จำเลยก็หาได้นำนางลั่นเข้าเบิกความตามที่ระบุไว้ในบัญชีพยานแต่อย่างใดไม่ พยานหลักฐานของจำเลยที่ว่าที่ดินพิพาทยังเป็นของนางลั่นอยู่จึงขัดต่อเหตุผล ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยดังที่โจทก์นำสืบ เมื่อจำเลยขายให้แก่โจทก์แล้วก็ไม่มีสิทธิเข้าไปรบกวนการครอบครองของโจทก์อีก แต่ที่โจทก์ขอบังคับให้จำเลยไปทำนิติกรรมให้โจทก์ได้รับเอกสารสิทธิในการครอบครองที่ดินพิพาทหากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น เห็นว่า ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่ามีแต่ ส.ค.1 ยังไม่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือ น.ส.3 จึงไม่อาจจะโอนกันได้โดยการแสดงเจตนาทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ศาลจะบังคับให้โอนทางทะเบียนหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของนางลั่น จำเลยไม่มีอำนาจขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์และพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก.

Share