แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยอ้างว่าได้ชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์แล้วตามเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.9 ที่จำเลยอ้างเป็นพยาน และได้ส่งสำเนาให้แก่โจทก์ก่อนวันสืบพยานแล้ว แม้โจทก์จะไม่คัดค้านการอ้างเอกสารนั้น ก็ไม่ตัดอำนาจของศาลในอันที่จะไต่สวนและชี้ขาดในเรื่องการมีอยู่ความแท้จริง หรือความถูกต้องของเอกสารเช่นว่านั้นตามความในวรรคท้ายของมาตรา 125 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ค่าซื้อสินค้า ๓๕,๒๘๙ บาท สัญญาจะชำระภายใน ๓๐ วัน ครบวันกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระหนี้ ๓๕,๒๘๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว ๒๔,๒๔๖ บาท โจทก์มาฟ้องเรียกเต็มจำนวนเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๓๕,๒๘๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า ในการอ้างเอกสารหมาย ล.๑ ถึง ล.๙ จำเลยได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานแล้ว โจทก์ไม่ได้คัดค้านการอ้างเอกสารนั้น จึงต้องฟังตามที่จำเลยอ้างว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว
ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิในการอ้างเอกสารเป็นพยานกับการที่จะรับฟังข้อเท็จจริงตามเอกสารที่อ้างหรือไม่นั้นเป็นคนละเรื่องคนละปัญหากัน ตามความในวรรคท้ายของมาตรา ๑๒๕ นั้นเอง ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า แม้คู่ความจะอ้างเอกสารนั้นได้ก็ไม่ตัดอำนาจของศาลในอันที่จะไต่สวนและชี้ขาดเรื่องการมีอยู่ความแท้จริงหรือความถูกต้องของเอกสารเช่นว่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่าเอกสารนั้นเป็นหลักฐานการรับเงินที่โจทก์ทำให้ไว้ จึงเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะวินิจฉัยเช่นนั้นได้
พิพากษายืน