คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2487/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทายาททำหนังสือรับภาระหนี้สินของเจ้ามรดกต่อเจ้าหนี้แล้วไม่ชำระเจ้าหนี้ฟ้องขอให้บังคับตามหนังสือนี้แล้วทำยอมกัน ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดโจทก์ซึ่งได้รับ แต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกโดยคำสั่งศาลจะมาฟ้องขอเพิกถอน หนังสือรับภาระหนี้สินนั้นไม่ได้หนี้ตามหนังสือนี้ได้ระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 ทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิขึ้นใหม่ตามที่แสดงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความจึงไม่มีหนี้เดิมเหลืออยู่ที่โจทก์จะขอให้เพิกถอนได้
เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลมีอำนาจสั่งงดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษายกฟ้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายฉ่ำ คงอ่อน ตามคำสั่งศาลจำเลยที่ ๑ อ้างว่าเป็นผู้จัดการมรดกของนายฉ่ำ โดยพินัยกรรมซึ่งต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษา คดีถึงที่สุดว่าพินัยกรรมดังกล่าวเป็นพินัยกรรมปลอม จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ได้ทำหนังสือยอมรับภาระหนี้สินของนายฉ่ำ กับจำเลยที่ ๔ เจ้าหนี้และต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมรับสภาพหนี้ดังกล่าวกับจำเลยที่ ๔ โดยจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีอำนาจทำการ สัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันกองมรดกของนายฉ่ำ ต่อมาจำเลยที่ ๔ ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ แกล้งทำยอมชำระหนี้ให้จำเลยที่ ๔ ศาลพิพากษาตามยอม ทำให้กองมรดกของนายฉ่ำเสียหาย ขอให้เพิกถอนหนังสือยอมรับภาระหนี้สิน และสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ กับจำเลยที่ ๔ และให้จำเลยที่ ๔ ส่งมอบโฉนดที่ดินที่ยึดไว้เป็นประกันหนี้โดยไม่มีอำนาจ
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า แม้ศาลจะพิพากษาว่าพินัยกรรมปลอม แต่ก็มิได้วินิจฉัยว่าใครเป็นผู้ปลอม จำเลยที่ ๒ เป็นบุตรนายฉ่ำ จำเลยที่ ๓ เป็นบุตรบุญธรรม ส่วนโจทก์เป็นหลานนายฉ่ำไม่มีสิทธิได้รับมรดกจึงไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดก จำเลยทั้งสามได้ทำสัญญารับสภาพหนี้สินและสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ ๔ เพื่อประโยชน์ของกองมรดกโดยสุจริตเนื่องจากหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่จำเลยที่ ๑ ไปกู้เงินจำเลยที่ ๔ มาเพื่อชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ของนายฉ่ำเจ้ามรดก กับกู้มาใช้จ่ายในการดำเนินคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก หนี้ดังกล่าวศาลพิพากษาตามยอมไปแล้วโจทก์จะฟ้อง ขอให้เพิกถอนไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
วันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงสั่งให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนี้ตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องและขอให้ศาลเพิกถอนนั้นศาลได้มีคำพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดไปแล้ว หนี้ที่โจทก์ขอให้เพิกถอนจึงระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๒ ทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิที่แสดงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีหนี้เดิมเหลืออยู่ที่โจทก์จะขอให้เพิกถอนได้โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้เพิกถอนหนี้ที่ระงับไปแล้วได้อีก เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องก็ไม่จำต้องดำเนินการชี้สองสถานและสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share