คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2487/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การระบุถึงสถานที่ที่เกิดการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ไม่จำต้องระบุตำบลที่เกิดเหตุเสมอไป โดยเพียงแต่กล่าวไว้พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีก็เป็นการเพียงพอแล้ว ทั้งนี้ต้องพิจารณาเป็นเรื่อง ๆ ไป
ฎีกาของจำเลยที่อ้างว่า ส. และจำเลยมิได้มีหนี้สินต่อกัน เช็ครายพิพาทไม่มีมูลหนี้ตามกฎหมาย และจำเลยมิได้มีส่วนร่วมในการยักยอกเงินของโจทก์ การกระทำของจำเลยขาดเจตนาในการออกเช็คอันจะเป็นเหตุให้ได้รับโทษทางอาญา เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ขายถุงพลาสติกให้แก่ลูกค้าที่จังหวัดเชียงใหม่และให้พนักงานเก็บเงินไปเก็บเงินค่าถุงพลาสติกจากลูกค้าดังกล่าว พนักงานเก็บเงินของโจทก์เก็บเงินจากลูกค้าแล้วสมคบกับจำเลยเอาเงินนั้นไปใช้ จำเลยจึงออกเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาประตูช้างเผือก สั่งจ่ายเงินจำนวน ๕๓,๗๙๕ บาท เพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำนหนดโจทก์นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ให้เหตุว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย การกระทำของจำเลยเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การระบุถึงสถานที่ที่เกิดเหตุการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘(๕) ไม่จำต้องระบุตำบลที่เกิดเหตุเสมอไป โดยเพียงแต่กล่าวไว้พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีเป็นการเพียงพอแล้ว ทั้งนี้ต้องพิจารณาเป็นเรื่อง ๆ ไป สำหรับคดีนี้คำฟ้องของโจทก์บรรยายถึงสถานที่ที่เกิดการกระทำผิดโดยระบุว่าเหตุเกิดที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัดสาขาประตูช้างเผือก เลขที่ ๑๖๙/๑-๓ ถนนโชตนา อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่อันเป็นธนาคารตามเช็ครายพิพาทของจำเลย และที่แขวงสีลม เขตบางรักกรุงเทพมหานคร กับตำบลในคลองบางปลากด อำเภอเมืองสมุทรปราการจังหวัดสมุทรปราการอันเป็นภูมิลำเนาของโจทก์และจำเลยตามที่กล่าวในฟ้อง เกี่ยวเนื่องกัน ถือได้ว่าเป็นการบรรยายรายละเอียดที่เกี่ยวกับสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘(๕) แล้ว
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุกจำเลยฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นมีกำหนด ๖ เดือนโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยออกเช็ครายพิพาทเพื่อให้นายสุชาติยืมไปชำระหนี้ให้แก่โจทก์ เนื่องจากนายสุชาติยักยอกเงินของโจทก์ และการที่จำเลยออกเช็คล่วงหน้าก็เพื่อให้นายสุชาติหาเงินมาใช้ให้โจทก์ แล้วนำเช็ครายพิพาทมาคืนจำเลย แต่ถ้านายสุชาติไม่สามารถใช้เงินให้โจทก์ได้ จำเลยก็ยินยอมให้นำเช็ครายพิพาทไปเรียกเก็บเงินเพื่อชำระหนี้โจทก์ โดยจำเลยทราบดีมาตั้งแต่แรกที่ออกเช็ครายพิพาทว่าจำเลยไม่สามารถมีเงินที่จะจ่ายตามเช็คดังกล่าวได้ จึงเป็นการออกเช็คเพื่อที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ฎีกาข้อโต้เถียงของจำเลยที่อ้างว่า นายสุชาติและจำเลยมิได้มีหนี้สินต่อกัน เช็ครายพิพาทไม่มีมูลหนี้ตามกฎหมาย และจำเลยมิได้มีส่วนร่วมในการยักยอกเงินของโจทก์ การกระทำของจำเลยขาดเจตนาในการออกเช็คอันจะเป็นเหตุให้ได้รับโทษทางอาญา เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน

Share