แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องว่าจำเลยใช้กำลังทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเพื่อเป็นความสดวกในการที่จะลักทรัพย์ ครั้นแล้วจำเลยลักเอาธนบัตรของผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์ เมื่อทางพิจารณาข้อมีว่าจำเลยลักเงินพยานหลักฐานไม่มี เป็นแต่ได้ความว่าจำเลยรัดคอผู้เสียหายล้มลง แล้วมีชายอื่นอีกคนหนึ่งเอามีดกรีดกระเป๋าผู้เสียหายขาด แล้วชายนั้นล้วงเอาเงินในกระเป๋าได้ และวิ่งหนีไปส่วนจำเลยพอลุกขึ้นได้ก็วิ่งตามหลังคนล่วงเงินลับตาไป ดังนี้ จะลงโทษจำเลยโทษฐานชิงทรัพย์ ไม่ได้ ศษลต้องพิพากษายกฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยชิงทรัพย์นายตุ๊  โดยจำเลยใช้กำลังทำร้าย  กล่าวคือ  ใช้มือรัดคอนายตุ๊เจ็บสาหัสทั้งนี้เพื่อให้เป็นความสดวกในการที่จำเลยจะลักทรัพย์  ครั้นแล้วจำเลยลักเอาธนบัตรของนายตุ๊ไปห้าพันบาท  จึงขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลย  ๕  ปี  ตาม  ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา  ๒๙๙
จำเลยอุทธรณ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า  ผู้ที่ลักเงินของนายตุ๊ไม่ใช่จำเลย  แต่โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยเป็นผู้ลักเงินของนายตุ๊  ข้อเท็จจริงจึงต่างกับฟ้อง  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาปรึกษาคดีแล้ว ได้ความว่า  นายตุ๊กลับจากเที่ยวจะเข้าโรงแรม  มีชายคนหนึ่งเอามือรัดคอนายตุ๊  ล้มลงับชายนั้น  แล้วชายนั้นพลิกตัวขึ้นทับนายตุ๊ๆเบิกความว่า  ในขณะนั้นรู้สึกว่ามีชายคนหนึ่งจะมาจากไหนไม่ทราบเข้าไปที่นายตุ๊  แล้วเอามีดกรีดกระเป๋ากางเกงนายตุ๊จนกางเกงขาดแล้วใช้มือล้วงเงินจากกระเป๋านายตุ๊ไปห้าพันบาท  คนล้วงเงินวิ่งหนี  พอดีนายตุ๊เอาเท้าถีบชายคนที่ล้มทับให้พ้นไปจากตัวนายตุ๊  ชายคนนี้พอลุกขึ้นได้  ก็วิ่งตามหลังล้วงเงินลับตาไป  นายตุ๊ว่าชายคนที่รัดคอและทับนั้นคือ  จำเลย
ตามที่กล่าวมานี้  ข้อที่จะว่า จำเลยลักเงินพยานหลักฐานไม่มี  ที่โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยลักเอาเงินของนายตุ๊ไปเป็นอันไม่ได้ความ  เมื่อเป็นเช่นนี้จะลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ได้อย่างไร
จึงพิพากษายืน
์

