แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อขอแบ่งแยกและลงชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายในฐานะที่โจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์มรดกของผู้ตายตามพินัยกรรม มิได้ฟ้องทายาทขอให้แบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ผู้รับมรดกตามพินัยกรรม ดังนั้น ผู้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมจะมีตัวตนอยู่หรือไม่ จึงไม่เป็นประเด็นพิพาทในคดี และแม้ผู้มีชื่อรับพินัยกรรมจะไม่มีตัวตนก็ตามก็มีผลเพียงทำให้ข้อกำหนดในพินัยกรรมเกี่ยวกับการยกทรัพย์มรดกแก่บุคคลที่ระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมสิ้นผลไปเท่านั้น ส่วนข้อกำหนดที่ระบุให้บุคคลใดเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมนั้นหาได้เสื่อมเสียไปไม่ เมื่อจำเลยเป็นผู้ยึดถือโฉนดที่ดินตามพินัยกรรมไว้ โจทก์ในฐานะผู้จัดการทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมย่อมมีสิทธิขอแบ่งแยกและใส่ชื่อตนในโฉนดในฐานะผู้จัดการทรัพย์มรดกของผู้ตายได้ โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามส่งมอบโฉนดที่ดินซึ่งเป็นมรดก เป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณราคาเป็นเงินได้ ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความเกินอัตราขั้นสูงตามตาราง 6 อัตราค่าทนายความท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรกำหนดเสียใหม่ให้ถูกต้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อขอแบ่งแยกและลงชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายในฐานะที่โจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์มรดกของผู้ตายตามพินัยกรรม มิได้ฟ้องทายาทขอให้แบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ผู้รับมรดกตามพินัยกรรม ดังนั้นผู้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมจะมีตัวตนอยู่หรือไม่ จึงไม่เป็นประเด็นพิพาทในคดี และแม้ผู้มีชื่อรับพินัยกรรมจะไม่มีตัวตนก็ตามก็มีผลเพียงทำให้ข้อกำหนดในพินัยกรรมเกี่ยวกับการยกทรัพย์มรดกแก่บุคคลที่ระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมสิ้นผลไปเท่านั้นส่วนข้อกำหนดที่ระบุให้บุคคลใดเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมนั้นหาได้เสื่อมเสียไปไม่ เมื่อจำเลยเป็นผู้ยึดถือโฉนดที่ดินตามพินัยกรรมไว้ โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมย่อมมีสิทธิขอแบ่งแยกและใส่ชื่อตนในโฉนดในฐานะผู้จัดการทรัพย์มรดกของผู้ตายได้
โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามส่งมอบโฉนดที่ดินซึ่งเป็นมรดก เป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณราคาเป็นเงินได้ ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความเกินอัตราขั้นสูงตามตาราง 6 อัตราค่าทนายความประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรกำหนดเสียใหม่ให้ถูกต้อง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางพร้อม เอกากายตามพินัยกรรม ก่อนถึงแก่ความตาย นางพร้อมกับจำเลยทั้งสามร่วมกันเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6961 โดยที่ดินส่วนของนางพร้อมปลูกบ้านอยู่สองหลังคู่กัน เลขที่ 18 โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกมีหน้าที่จัดการมรดกให้เป็นไปตามพินัยกรรมโดยจัดการแบ่งมรดกให้แก่นางเพียงใจ เอกากายหรือพูนเกลียวผู้รับมรดกตามพินัยกรรมได้แจ้งให้จำเลยทั้งสามดำเนินการแบ่งแยกที่ดินเป็นส่วนสัดตามที่ครอบครอง แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสามส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 6961 แก่โจทก์หากไม่ปฏิบัติตามขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดที่ดินดังกล่าว เพื่อให้โจทก์ใส่ชื่อถือกรรมสิทธิ์ในฐานะผู้จัดการมรดก และให้จำเลยทั้งสามไปยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐมร่วมกับโจทก์เพื่อรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดดังกล่าวให้แก่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดก หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยทั้งสามกับนางพร้อมมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดตามฟ้องโดยได้รับการยกให้จากบิดามารดาและแบ่งแยกการครอบครองตามที่ตกลงกันอยู่ด้วยกันมาโดยปกติสุข จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้รักษาโฉนดที่ดินพินัยกรรมที่โจทก์อ้างเป็นเอกสารปลอม การที่ นางพร้อมทำพินัยกรรมให้แก่ผู้มีชื่อ เป็นการจำหน่ายทรัพย์อันเป็นกรรมสิทธิ์รวม โดยมิได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคนพินัยกรรมจึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย พินัยกรรมตามฟ้องเป็นพินัยกรรมตั้งผู้ปกครองทรัพย์เพื่อจัดการทรัพย์สินของเด็กหญิงเพียงใจเอกากาย ผู้เยาว์แต่ปัจจุบันได้บรรลุนิติภาวะ สามารถจัดการทรัพย์ด้วยตนเองได้ นางพร้อมถึงแก่ความตายวันที่ 17 กุมภาพันธ์2522 นับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
นางสาวเจียมจิตต์ สุวรรณเกิด ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความว่า นางพร้อมเป็นอาผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนของนางพร้อมทางด้านทิศเหนือถัดจากบ้านของนางพร้อม เนื้อที่ 2 งาน 70 ตารางวา ซึ่งผู้ร้องสอดได้ครอบครองที่ดินโดยสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกินกว่า 10 ปี จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องสอดโดยการครอบครองปรปักษ์จึงขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 6961เนื้อที่ 2 งาน 70 ตารางวา ตามรูปแผนที่ที่ดินท้ายคำร้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องสอด ห้ามมิให้โจทก์เกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว
โจทก์ยื่นคำให้การแก้คำร้องสอดว่า นางพร้อมไม่เคยขายที่ดินให้แก่ผู้ร้องสอด ที่ดินส่วนที่ผู้ร้องสอดอ้างการครอบครองปรปักษ์นั้นยังเป็นกรรมสิทธิ์รวมของทุกคน การครอบครองที่ดินของผู้ร้องสอดเป็นการอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 ผู้ร้องสอดจึงยื่นคำร้องเท็จและเพื่อประวิงคดี เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตขอให้ยกคำร้องสอด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันนำโฉนดที่ดินเลขที่ 6961 ไปยื่นเรื่องราวต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐมร่วมกับโจทก์เพื่อรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมของนางพร้อม เอกากาย ผู้ตายเป็นจำนวนเนื้อที่หนึ่งในสี่ส่วนของที่ดินทั้งแปลงเพื่อปฏิบัติตามพินัยกรรมต่อไป หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสียให้ยกคำร้องสอดกับให้จำเลยทั้งสามและผู้ร้องสอดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท
จำเลยทั้งสามและผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นสามีของนางพร้อม ผู้ตาย โดยสมรสกันเมื่อวันที่15 กรกฎาคม 2520 ผู้ตายเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และนายเกษม สุวรรณเกิด ซึ่งเดิมได้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 6961 ตำบลธรรมศาลาอำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม โดยได้รับมรดกมาจากบิดามารดาต่อมานายเกษมได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนของตนให้แก่จำเลยที่ 2ซึ่งเป็นภรรยาของจำเลยที่ 3 นางพร้อมได้ถึงแก่ความตายด้วยโรคมะเร็ง เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2522 ต่อมาวันที่25 สิงหาคม 2532 โจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีที่ให้ส่งมอบโฉนดที่ดินตามฟ้อง เพื่อทำการแบ่งแยกและใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.1
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า พินัยกรรมตามฟ้องมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าขณะทำพินัยกรรมนางพร้อมมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์สามารถพูดจารู้เรื่องและได้ลงลายมือชื่อในพินัยกรรมต่อหน้าผู้บันทึกและพยานในพินัยกรรม พินัยกรรมตามฟ้องจึงมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย ข้อนำสืบของจำเลยที่ว่าผู้ตายไม่เคยมีบุตรเด็กหญิงเพียงใจไม่มีตัวตน พินัยกรรมที่ นางพร้อมยกทรัพย์มรดกให้แก่เด็กหญิงเพียงใจใช้บังคับไม่ได้นั้นเป็นข้อที่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นการนำสืบพยานนอกเหนือไปจากคำให้การ
คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อขอแบ่งแยกและลงชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายในฐานะที่โจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์มรดกของผู้ตายตามพินัยกรรม มิได้ฟ้องทายาทขอให้แบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ผู้รับมรดกตามพินัยกรรม ดังนั้น ผู้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมจะมีตัวตนอยู่หรือไม่ จึงไม่เป็นประเด็นพิพาทในคดีนี้และแม้ข้อเท็จจริงจะเป็นดังข้อนำสืบของจำเลยว่าเด็กหญิงเพียงใจไม่มีตัวตนก็ตามก็มีผลเพียงทำให้ข้อกำหนดในพินัยกรรมเกี่ยวกับการยกทรัพย์มรดกแก่บุคคลที่ระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมสิ้นผลไปเท่านั้นส่วนข้อกำหนดที่ระบุให้บุคคลใดเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมนั้นหาได้เสื่อมเสียไปไม่ เมื่อจำเลยเป็นผู้ยึดถือโฉนดที่ดินตามพินัยกรรมไว้ โจทก์ในฐานะผู้จัดการทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมย่อมมีสิทธิขอแบ่งแยกและใส่ชื่อตนในโฉนดในฐานะผู้จัดการทรัพย์มรดกของผู้ตายได้
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามส่งมอบโฉนดที่ดินซึ่งเป็นมรดก เป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณราคาเป็นเงินได้ซึ่งตาราง 6 อัตราค่าทนายความท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ชั้นสูงในศาลชั้นต้นกำหนดไว้ไม่เกิน 3,000 บาท ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาทเกินอัตราขั้นสูงตามตารางดังกล่าว จึงเห็นสมควรกำหนดเสียใหม่ให้ถูกต้อง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสามและผู้ร้องสอดใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้น3,000 บาท ในชั้นอุทธรณ์ 1,500 บาท และให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้1,500 บาท