คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้เช่าที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองฎีกาว่าการเช่าอสังหาริมทรัพย์กฎหมายบังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดจึงจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ แต่ศาลล่างทั้งสองกลับฟังว่าจำเลยทั้งสองเช่าที่พิพาททั้งที่โจทก์ไม่มีหลักฐานการเช่ามาแสดง จึงเป็นการฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบเพราะขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 และ 94ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการโต้เถียงว่าจำเลยทั้งสองมิได้เช่าที่พิพาท ซึ่งเป็นการเถียงข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังเป็นยุติแล้วว่าจำเลยทั้งสองเช่าที่พิพาท เมื่อคดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของนายสุวรรณและนางบุญช่วย ตรีเพ็ชร์ จำเลยทั้งสองได้เช่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) หมู่ที่ 6ตำบลอินทร์บุรี อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรีและที่ดินบางส่วนของโฉนดเลขที่ 5487 ตำบลอินทร์บุรี อำเภออินทร์บุรีจังหวัดสิงห์บุรี จากมารดาโจทก์ทั้งสอง ต่อมามารดาโจทก์ทั้งสองถึงแก่กรรม โจทก์ทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อเดือนสิงหาคม 2531โจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) แปลงดังกล่าวเพื่อออกโฉนดที่ดิน จำเลยที่ 1คัดค้านอ้างว่าที่ดินที่จำเลยที่ 1 เช่าอยู่นั้นเป็นของจำเลยทั้งสองซึ่งซื้อมาจากนายสุวรรณ โจทก์จึงบอกเลิกการเช่าและบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองเพิกเฉยโจทก์เสียหายเดือนละ 2,000 บาท ขอให้เพิกถอนการคัดค้านของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยทั้งสองรื้อบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์ หากไม่รื้อให้โจทก์เป็นผู้รื้อเองโดยจำเลยทั้งสองออกค่าใช้จ่าย ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวอีก ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากที่ดิน
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยเช่าที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายสุวรรณบิดาโจทก์ทั้งสองในราคา 51,000 บาท แล้วได้ปลูกบ้านอาศัยมาเป็นเวลาประมาณ 20 ปีแล้วขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าบ้านเลขที่ 5/6 พร้อมที่ดิน น.ส.3 หมู่ที่ 6 ตำบลอินทร์บุรีอำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เป็นของจำเลยทั้งสอง
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยซื้อที่ดินพิพาทจากนายสุวรรณ จำเลยทั้งสองเป็นเพียงผู้เช่า
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อบ้านเลขที่ 5/6 หมู่ที่ 6ตำบลอินทร์บุรี อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ออกจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีกให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 200 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากที่ดินพิพาท ให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้มีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคแรก คดีนี้ศาลล่างทั้งสองต่างฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยทั้งสองมิได้ซื้อที่พิพาท หากแต่เช่าที่พิพาทจึงมิได้เป็นเจ้าของที่พิพาท จำเลยทั้งสองฎีกามาเป็นสำคัญว่าการเช่าอสังหาริมทรัพย์กฎหมายบังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญจึงจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538แต่ศาลล่างทั้งสองกลับฟังว่าจำเลยทั้งสองเช่าที่พิพาททั้งที่โจทก์ไม่มีหลักฐานการเช่ามาแสดง จึงเป็นการฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบเพราะขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 และ 94เห็นว่าที่จำเลยทั้งสองฎีกามาดังกล่าวเท่ากับเถียงว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้เช่าที่พิพาท จึงเป็นการเถียงข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังยุติต้องกันแล้วว่าจำเลยทั้งสองเช่าที่พิพาท ฎีกาของจำเลยทั้งสองดังกล่าวนี้จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทมาตราดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลยทั้งสอง

Share