แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สิทธิเรียกร้องเงินบำเหน็จบำนาญของจำเลยซึ่งเดิมเป็นทหารประจำการที่มีต่อกระทรวงกลาโหม ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
ย่อยาว
เดิมโจทก์ฟ้องหย่า แล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันมีสารสำคัญว่า โจทก์จำเลยตกลงหย่าขาดจากกัน จำเลยยอมแบ่งเงินเบี้ยหวัดหรือเงินที่จะได้รับจากกระทรวงกลาโหมให้แก่บุตรครึ่งหนึ่งโดยให้โจทก์เป็นผู้ไปรับแทน ศาลพิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น
ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2518 ว่ากระทรวงกลาโหมไม่ยอมจ่ายเงินตามยอมให้บุตรโจทก์ ขอให้บังคับคดี
ศาลจังหวัดธัญญบุรีออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดเงินบำนาญตกเบิกกับเงินบำเหน็จรายเดือนครึ่งหนึ่ง ซึ่งจำเลยมีสิทธิได้รับจากกระทรวงกลาโหม ศาลจังหวัดธัญญบุรีส่งหมายให้ศาลแพ่งดำเนินการบังคับคดีแทน
ศาลแพ่งแจ้งมายังศาลจังหวัดธัญญบุรีว่า ทรัพย์ที่ขอให้ยึดเป็นบำนาญและบำเหน็จไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
ศาลจังหวัดธัญญบุรีมีคำสั่งว่า เมื่อศาลแพ่งไม่ยอมยึดทรัพย์ให้ก็ให้ยกคำขอฉบับ ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2518 ของโจทก์เสีย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า เดิมจำเลยเป็นพลทหารประจำการ จำเลยจึงเป็นข้าราชการ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 มาตรา 4 ดังนั้นสิทธิเรียกร้องเงินบำนาญและบำเหน็จของจำเลยที่มีต่อกระทรวงกลาโหมจึงไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286(2) โจทก์จะออกหมายบังคับคดียึดเงินดังกล่าว หาได้ไม่
พิพากษายืน