คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 24/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยรับจ้างเป็นทนายความแก้ต่างให้โจทก์และโจทก์ได้แต่งตั้งจำเลยเป็นทนายความโดยชอบแล้วจำเลยย่อมมีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆแทนโจทก์ได้ตามที่เห็นสมควรเพื่อรักษาผลประโยชน์ของโจทก์ แม้การที่จะซักค้านพยานโจทก์ปากใดอย่างไรหรือไม่ หรือสมควรนำพยานปากใดเข้าสืบหรือไม่ก็อยู่ในอำนาจหรือดุลพินิจของจำเลยก็ตาม แต่การที่จำเลยมอบอำนาจให้เสมียนทนายไปเลื่อนคดีหลังจากที่มีการสืบ อ. พยานโจทก์เสร็จแล้วจนเป็นเหตุให้ศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี ทำให้ไม่มีโอกาสซักค้าน อ. พยานโจทก์ก็ดีการที่จำเลยไม่นำตัวโจทก์เข้าเบิกความเป็นพยานทั้ง ๆ ที่โจทก์ได้แสดงเจตนาว่าจะเข้าเบิกความเป็นพยานแล้วก็ดี การที่จำเลยไม่แจ้งวันนัดเดินเผชิญสืบให้โจทก์ทราบรวมทั้งมิได้แจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาให้โจทก์ทราบและไม่ใส่ใจที่จะไปฟังคำพิพากษาด้วยตนเอง หรือมอบฉันทะให้ผู้อื่นไปฟังแทนก็ดี การไม่อุทธรณ์คำพิพากษา ศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์โดยมิได้ปรึกษาโจทก์ หรือแจ้ง ให้โจทก์ทราบถึงเหตุผลที่ไม่ควรอุทธรณ์ก็ดี ล้วนแต่ เป็นการใช้ดุลพินิจที่ปราศจากเหตุผล มีแต่จะก่อให้เกิด ความเสียหายแก่โจทก์ ถือได้ว่าจำเลยละเลยต่อ หน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติและเป็นการผิดสัญญาจ้าง ว่าความ จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ค่าทนายความที่จำเลยต้องคืนให้โจทก์กับค่าเสียหายที่จำเลยต้องชดใช้ให้โจทก์ต่างเป็นหนี้เงิน จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยให้เป็นทนายความในคดีแพ่งที่โจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลยในราคาค่าจ้างว่าความ 50,000 บาท ต่อมาจำเลยจงใจละเลยต่อหน้าที่ทนายความและผิดสัญญาจ้างว่าความ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทำให้โจทก์ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาเกินกว่าความเป็นจริงถึง 535,900 บาท กับต้องจ้างทนายความคนใหม่อีก 20,000 บาท ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 696,785 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 605,900 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 20,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2538เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าจ้างว่าความที่รับไปจากโจทก์แล้วเป็นเงิน 40,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ตามที่คู่ความมิได้โต้แย้งว่า โจทก์ว่าจ้างให้จำเลยเป็นทนายความแก้ต่างให้โจทก์ในคดีที่โจทก์ถูกนายนิทัศน์ ศรีวรเพชร ฟ้องที่ศาลแพ่งฐานผิดสัญญาจ้างทำของให้ชำระเงินตามสัญญาเป็นเงิน 942,767 บาท โดยจำเลยตกลงแก้ต่างให้โจทก์จนกว่าคดีจะถึงที่สุดโจทก์ได้ชำระค่าจ้างว่าความจำนวน 50,000 บาท ให้จำเลยแล้วต่อมาศาลแพ่งพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินตามฟ้องให้แก่นายนิทัศน์ จำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลอุทธรณ์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ประการแรกว่า จำเลยผิดสัญญาจ้างว่าความต่อโจทก์หรือไม่ โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่าจำเลยไม่ถามค้านพยานโจทก์หรือนำสืบพยานจำเลยปากนายอนุรักษ์ พิมลศรี สถาปนิกผู้เขียนแบบตกแต่งบ้านให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รู้รายละเอียดว่านายนิทัศน์ตกแต่งบ้านโจทก์ถูกต้องตามแบบแปลนหรือไม่และแถลงไม่นำโจทก์ซึ่งเป็นตัวความในคดีดังกล่าวเข้าเบิกความ ทั้งไม่แจ้งให้โจทก์ทราบ วันนัดที่ศาลจะไปเดินเผชิญสืบ ทำให้โจทก์หมดโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาล และไม่แจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ทราบทำให้เสียสิทธิอุทธรณ์ฎีกา เห็นว่า เมื่อจำเลยรับจ้างเป็นทนายความแก้ต่างให้โจทก์และโจทก์ได้แต่งตั้งจำเลยเป็นทนายความโดยชอบแล้ว จำเลยย่อมมีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ แทนโจทก์ได้ตามที่เห็นสมควรเพื่อรักษาผลประโยชน์ของโจทก์และการที่จะซักค้านพยานโจทก์ปากใดอย่างไรหรือไม่ หรือสมควรนำพยานปากใดเข้าสืบหรือไม่ก็อยู่ในอำนาจหรือดุลพินิจของจำเลยแต่การใช้ดุลพินิจนั้นจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่โจทก์การที่จำเลยมอบอำนาจให้เสมียนทนายไปเลื่อนคดีหลังจากที่มีการสืบพยานโจทก์ปากนายอนุรักษ์เสร็จแล้วจนเป็นเหตุให้ศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี ทำให้ไม่มีโอกาสซักค้านพยานปากนายอนุรักษ์ก็ดีการที่จำเลยไม่นำตัวโจทก์เข้าเบิกความเป็นพยานทั้ง ๆ ที่โจทก์ได้แสดงเจตนาว่าจะเข้าเบิกความเป็นพยานแล้วก็ดี การที่จำเลยไม่แจ้งวันนัดเดิมเผชิญสืบให้โจทก์ทราบรวมทั้งมิได้แจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาให้โจทก์ทราบและไม่ใส่ใจที่จะไปฟังคำพิพากษาด้วยตนเองหรือมอบฉันทะให้ผู้อื่นไปฟังแทนก็ดี การไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์โดยมิได้ปรึกษาโจทก์หรือแจ้งให้โจทก์ทราบถึงเหตุผลที่ไม่ควรอุทธรณ์ก็ดี ล้วนแต่เป็นการใช้ดุลพินิจที่ปราศจากเหตุผล มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยละเลยต่อหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติและเป็นการผิดสัญญาจ้างว่าความ จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยต้องคืนค่าทนายความทั้งหมดกับชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงใด สำหรับค่าทนายความนั้น เห็นว่า จำเลยได้ทำหน้าที่ทนายความให้โจทก์ในศาลชั้นต้นเป็นส่วนใหญ่แล้ว โจทก์จึงต้องใช้ค่าแห่งการงานที่จำเลยทำให้โจทก์ด้วยการใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ใช้ค่าทนายความในส่วนนี้ให้แก่จำเลยเป็นเงิน 10,000 บาท และให้จำเลยคืนค่าทนายความที่รับไปแล้วให้แก่โจทก์ 40,000 บาท นับว่าเหมาะสมดีแล้ว ส่วนค่าเสียหายนั้นเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยรับผิดในค่าเสียหายในส่วนนี้ต่อโจทก์จำนวน 40,000 บาท และเนื่องจากค่าทนายความที่จำเลยต้องคืนให้โจทก์กับค่าเสียหายที่จำเลยต้องชดใช้ให้โจทก์ต่างเป็นหนี้เงิน จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัด คือวันที่ 9 ตุลาคม 2539 อันเป็นวันครบกำหนดที่โจทก์ให้ทนายความมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์รวมเป็นเงิน80,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share