คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.538 ที่ว่าถ้าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้นั้น มิได้หมายความแต่ผู้ที่จะต้องเป็นโจทก์ฟ้องร้องอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการต่อสู้คดีด้วย เพราะการบังคับคดีย่อมทำได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
(อ้างฎีกาที่ 415/2501)
ผู้เช่าพร้อมที่จะทำสัญญาเช่าและลงชื่อในสัญญาในฐานะเป็นผู้เช่าแล้ว แต่ผู้ให้เช่าไม่ได้ลงชื่อในฐานะเป็นผู้ให้เช่า เอกสารดังกล่าวนี้ยังไม่ใช่หลักฐานเป็นหนังสือตามมาตรา 538
การที่จำเลยอ้างว่าได้ตกลงเช่ากันและได้ชำระเงินกินเปล่ากับค่าเช่าให้โจทก์ไปแล้วนั้น หากจะได้ชำระไปจริงและได้ตกลงกันจริง แต่เมื่อไม่มีหลักฐานแห่งการเช่าเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ผู้ให้เช่าซึ่งเป็นฝ่ายที่จำเลยจะให้รับผิดตามสัญญา จำเลยก็ยกสิทธิแห่งการเช่าขึ้นอ้างยันต่อโจทก์ไม่ได้.
(อ้างฎีกาที่ 1175/2502)

ย่อยาว

ได้ความว่า เดิมจำเลยเช่าห้องพิพาทจากโจทก์ ต่อมาโจทก์ฟ้องขับไล่ โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล โดยโจทก์ยอมให้จำเลยอยู่ในที่เช่าต่อไปอีก ๔ ปี เมื่อครบกำหนด ๔ ปี จำเลยจะต้องออกจากที่เช่าแต่พอครบ ๔ ปี ตามสัญญายอมแล้วจำเลยไม่ออก จำเลยอ้างว่าได้มีการตกลงกันใหม่โดยโจทก์ยอมตกลงให้จำเลยเช่าอยู่ต่อไปอีก ๓ ปี จำเลยได้ชำระค่ากินเปล่าให้ด้วย ได้มีการเตรียมทำหนังสือสัญญาเช่าและจำเลยได้ลงลายมือชื่อในสัญญาเป็นผู้เช่าแล้ว แต่ฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่ายังมิได้ลงลายมือชื่อในสัญญานั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายตั้งแต่วันครบสัญญายอมจนกว่าจะออกจากห้องของโจทก์เดือนละ ๑๐๐ บาท
อธิบดีผู้พิพากษาภาค ๔ ทำความเห็นแย้ง
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๑,๕๕๑ บาท และจากวันฟ้องอีกวันละ ๔๗ บาท จนกว่าจำเลยจะออกจากห้องพิพาท
จำเลยฎีกาโดยอธิบดีผู้พิพากษาภาค ๔ รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น
ข้อกฎหมายศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๕๓๘ มิได้หมายแต่ผู้ที่จะต้องเป็นโจทก์ฟ้องร้องอย่างเดียวย่อมหมายถึงการต่อสู้คดีด้วย เพราะการบังคับคดีย่อมทำได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เมื่อไม่ปรากฎว่ามีเอกสารสัญญาเช่าต่อกัน ตามที่กฎหมายบังคับไว้ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะอ้างการเช่าต่อกันหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ ๔๑๕/๒๕๐๑)
คดีได้ความเพียงว่า ฝ่ายจำเลยพร้อมที่จะทำสัญญาเช่าและลงชื่อในสัญญาในฐานะเป็นผู้เช่าแล้ว แต่ฝ่ายโจทก์ไม่ได้ลงชื่อในฐานะเป็นผู้ให้เช่า เอกสารดังกล่าวจึงไม่ใช่หลักฐานเป็นหนังสือที่จะผูกพันโจทก์ได้ตามมาตรา ๕๓๘
การที่จำเลยอ้างว่า ได้ตกลงกันเช่ากัน และได้ชำระเงินกินเปล่าค่าเช่า ให้โจทก์ไปแล้วนั้น หากจะได้ชำระไปจริง ได้ตกลงกันจริง เมื่อไม่มีหลักฐานแห่งการเช่าเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ผู้ให้เช่าซึ่งเป็นฝ่ายที่จำเลยจะให้รับผิดตามสัญญา จำเลยก็ยกสิทธิแห่งการเช่าซึ่งอ้างยันต่อโจทก์หาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ ๑๑๗๕/๒๕๐๒)
ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share