คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2353/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานยักยอก โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยบังอาจเบียดบังเอาทรัพย์ของผู้เสียหาย ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลย โดยจำเลยเช่าจากผู้เสียหายไปเป็นของตนเองโดยทุจริต โดยมิได้ระบุการกระทำของจำเลยให้ชัดว่าจำเลยได้กระทำการอย่างใดที่โจทก์ถือว่าจำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกมาพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ย่อมเป็นฟ้องเคลือบคลุม (อ้างฎีกาที่ 1057/2514)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่ารถยนต์จากผู้เสียหาย โดยมีเงื่อนไขว่า หากผู้ให้เช่าต้องการรถยนต์คืนเมื่อใด ผู้เช่าต้องนำส่งคืนทันที จำเลยได้รับมอบรถยนต์ไปจากผู้เสียหาย ต่อมาผู้เสียหายได้บอกเลิกสัญญาเช่าและแจ้งให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยได้บังอาจเบียดบังเอารถยนต์ดังกล่าวไปเป็นของตนเองโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352

จำเลยให้การปฏิเสธ

ก่อนสืบพยาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว สั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2519จำเลยทำสัญญาเช่ารถยนต์และรับมอบการครอบครองรถยนต์ไปจากผู้เสียหายต่อมาวันที่ 20 มกราคม 2502 ผู้เสียหายบอกเลิกเช่าและแจ้งให้จำเลยทราบแล้ววันเดียวกันจำเลยบังอาจเบียดบังเอารถยนต์นั้นไปเป็นของตนเองโดยทุจริต เห็นว่าคำว่าเบียดบังตามพจนานุกรมแปลว่า ยักยอก ปิดบังเอาไว้ มีความหมายเหมือนกันฟ้องโจทก์มิได้ระบุการกระทำของจำเลยให้ชัดว่าจำเลยได้กระทำการอย่างใดที่โจทก์ถือว่าจำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกมาพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share