แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยจะขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูง ขับชิดขวา ไม่เปิดโคมไฟใหญ่ และไม่ให้สัญญาณ ถ้าโจทก์ไม่ขับรถยนต์ล้ำเส้นกึ่งกลางถนนเข้ามาชนรถยนต์ที่จำเลยขับในเส้นทางเดินรถของจำเลย ก็ไม่เป็นเหตุให้ชนกันได้จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยมีส่วนประมาทเลินเล่อด้วย
คำพิพากษาในคดีอาญาจะผูกพันแต่คู่ความเท่านั้น เมื่อจำเลยในคดีแพ่งไม่ได้เป็นคู่ความในคดีอาญา ศาลต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานในคดีแพ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างด้วยความประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ที่โจทก์ขับ เป็นเหตุให้รถยนต์โจทก์ได้รับความเสียหายและโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายประมาทเหตุเกิดจากความประมาทของโจทก์แต่ผู้เดียว จำเลยไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 167,000 บาท แก่โจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 83,500 บาท แก่โจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นฝ่ายประมาท และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าก่อนชนกันรถยนต์ที่โจทก์ขับจึงวิ่งในลักษณะเสียหลักและปรากฏรอยห้ามล้อบนผิวจราจรฉะนั้น แม้จำเลยที่ 1 จะขับรถยนต์ที่ถูกชนด้วยความเร็วสูง ขับชิดขวาไม่เปิดไฟโคมใหญ่ และไม่ให้สัญญาดังโจทก์ฎีกาถ้าโจทก์ไม่ขับรถยนต์ล้ำเส้นกึ่งกลางถนนเข้ามาชนรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับในเส้นทางเดินรถของจำเลยที่ 1 ก็ไม่เป็นเหตุให้รถยนต์ชนกันได้ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนประมาทเลินเล่อด้วย และที่โจทก์ฎีกาว่าในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5803/2522 ของศาลแขวงธนบุรี พนักงานอัยการฟ้องโจทก์ว่าขับรถยนต์โดยประมาทมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดโดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลย (โจทก์ในคดีนี้) กระทำความผิดตามฟ้อง ดังนั้นการพิพากษาคดีนี้จึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 นั้นเห็นว่าบทบัญญัติของมาตรานี้ต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และมาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากล่าวคือคำพิพากษาในคดีอาญาจะผูกพันแต่คู่ความเท่านั้นแต่จำเลยในคดีนี้หาได้เป็นคู่ความในคดีอาญาไม่ ศาลจึงต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานในคดีแพ่ง และฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ภ.ก.04602 ไปชนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ร.บ.17579 ที่จำเลยที่ 1ขับโดยประมาทเลินเล่อฝ่ายเดียว จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้อง ประเด็นอื่นจึงไม่ต้องวินิจฉัยต่อไป ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้นฎีกาจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์