คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2317/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสามร่วมกันนำแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจที่โจทก์เพียงแต่ลงลายมือชื่อไว้ตั้งแต่ก่อนที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 จะหย่าขาดจากกันไปกรอกข้อความว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนจำนองและขายที่ดินพร้อม สิ่งปลูกสร้างโดยจำเลยที่ 2 กับที่ 3 ลงลายมือชื่อรับรองเป็นพยานว่า โจทก์ลงลายมือชื่อต่อหน้า แต่การกรอกข้อความดังกล่าวในหนังสือมอบอำนาจนั้นโจทก์ระบุในฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำขึ้นภายหลังจากโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อตกลงทางแพ่งแล้ว ทั้งกิจการมอบอำนาจตามที่ระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจไถ่ถอนจำนองและขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เป็นกิจการที่โจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงทางแพ่งที่โจทก์แสดงเจตนาไว้ ประกอบกับการที่จำเลยที่ 1 นำเอาหนังสือมอบอำนาจนั้นไปใช้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างก็ตรงตามที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อตกลงให้จำเลยที่ 1 นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปขายได้ การที่จำเลยทั้งสามร่วมกันกรอกข้อความลงในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ลงลายมือชื่อไว้ จึงมิได้เป็นการกระทำขึ้นเพื่อนำเอาหนังสือมอบอำนาจนั้นไปใช้ในกิจการอื่นนอกเหนือไปจากข้อตกลงอันอาจเกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือผู้ใดผู้หนึ่งหรือประชาชน ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปแล้วไม่นำเงินที่เหลือจากการชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปซื้อหรือวางเงินดาวน์บ้านหลังใหม่ และไม่นำเงินไปฝากธนาคารเพื่อเป็นทุนการศึกษาแก่บุตรทั้งสาม ก็เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องกระทำภายหลังจากขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้ ไม่เกี่ยวกับการไถ่ถอนจำนองและขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยการใช้แบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ลงลายมือชื่อไว้ คดีโจทก์จึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 266, 268

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๖, ๒๖๗, ๒๖๘, ๙๑, ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหา ข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว คดีนี้มีโจทก์อุทธรณ์แต่เพียงว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามมีมูลในข้อหาความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม โดยตอนท้ายอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษากลับคำพิพากษา ศาลชั้นต้นให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา ซึ่งมีความหมายว่าให้ประทับฟ้องในข้อหาความผิดฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๗ ที่โจทก์ ฟ้องด้วย แต่ตามอุทธรณ์ของโจทก์มิได้ระบุข้อเท็จจริงโดยย่อเกี่ยวกับข้อหาความผิดดังกล่าว อุทธรณ์ของโจทก์เกี่ยวกับข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๗ จึงเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓ วรรคสอง ดังนี้ ต้องถือว่าข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๗ ที่โจทก์ฟ้องไม่มีมูลและถึงที่สุดในศาลชั้นต้นแล้ว คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าคดีโจทก์มีมูลในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔ วรรคสอง, ๒๖๕, ๒๖๖ (๑) และมาตรา ๒๖๘ วรรคแรก หรือไม่ ตามทางไต่สวนมูลฟ้องได้ความว่า เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ โจทก์กับจำเลยที่ ๑ มีข้อตกลงเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๑ พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ ๗๓๐, ๗๓๐/๑, ๗๓๐/๒ และ ๗๓๐/๓ ว่า โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ ๑ ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว เงินส่วนที่เหลือ จากการชำระหนี้ ให้จำเลยที่ ๑ นำไปซื้อหรือวางเงินดาวน์บ้านหลังใหม่และเงินที่เหลือให้ฝากธนาคารเป็นทุน การศึกษาของบุตรทั้งสาม โดยโจทก์จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเงินที่ได้จากการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว และโจทก์จะไปธนาคารเพื่อลงลายมือชื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยที่ ๑ ฟ้องบังคับได้ ตามสำเนาบันทึกข้อตกลงทางแพ่ง ดังนี้จำเลยที่ ๑ จึงมีสิทธิตามบันทึกข้อตกลงที่จะขายที่ดินพร้อม สิ่งปลูกสร้างดังกล่าว แต่เนื่องจากโจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๑ พร้อมสิ่งปลูกสร้างร่วมกัน และโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกันจดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไว้กับธนาคาร อาคารสงเคราะห์ สาขาบุรีรัมย์ ดังนั้น ในการที่จำเลยที่ ๑ จะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการให้จำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเพื่อให้เป็นไปตาม บันทึกข้อตกลงทางแพ่ง ฉะนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันนำแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจที่โจทก์เพียงแต่ลงลายมือชื่อไว้ตั้งแต่ที่โจทก์กับจำเลยที่ ๑ จะหย่าขาดจากกันไปกรอกข้อความว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ ไถ่ถอนจำนองและขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว โดยจำเลยที่ ๒ กับที่ ๓ ลงลายมือชื่อ รับรองเป็นพยานว่า โจทก์ลงลายมือชื่อต่อหน้าจำเลยที่ ๒ กับที่ ๓ ตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจก็ตาม แต่การกรอก ข้อความดังกล่าวลงในหนังสือมอบอำนาจนั้น โจทก์ระบุในฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำขึ้นเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๔๑ อันเป็นเวลาภายหลังจากโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ทำบันทึกข้อตกลงทางแพ่งแล้ว ทั้งกิจการมอบอำนาจตามที่ระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจว่าให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจไถ่ถอนจำนองและขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๑ พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ ๗๓๐ เป็นกิจการที่โจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงทางแพ่ง ที่โจทก์แสดงเจตนาไว้ ประกอบกับการที่จำเลยที่ ๑ นำเอาหนังสือมอบอำนาจนั้นไปใช้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างก็ตรงตามที่โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ทำบันทึกข้อตกลงให้จำเลยที่ ๑ นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปขายได้ การที่จำเลยทั้งสามร่วมกันกรอก ข้อความลงในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ลงลายมือชื่อไว้ว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ ไถ่ถอนจำนองและขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง จึงมิได้เป็นการกระทำขึ้นเพื่อนำเอาหนังสือมอบอำนาจนั้นไปใช้ในกิจการอื่นนอกเหนือไปจากข้อตกลงอันอาจอันเกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชนแต่ประการใด ส่วนการที่จำเลยที่ ๑ ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปแล้ว ไม่นำเงินที่เหลือจากการชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปซื้อหรือวางเงินดาวน์บ้านหลังใหม่ และไม่นำเงินไปฝากธนาคารเพื่อเป็นทุนการศึกษาแก่บุตรทั้งสาม ก็เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ต้องกระทำภายหลังจากขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้ ไม่เกี่ยวกับการไถ่ถอนจำนองและขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยการใช้แบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ลงลายมือชื่อไว้แล้วจำเลยทั้งสามนำไปกรอกข้อความแต่อย่างใด…
พิพากษายืน .

Share