แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ตายเมาสุราโกรธจำเลยที่ถามเรื่องกระพรวนควายของจำเลยหายที่ผู้ตายรับจะเป็นคนช่วยสืบหาให้ จึงชักปืนออกจะยิง จำเลยใช้มือซ้ายรวบมือผู้ตายที่ถือปืนกระชากผู้ตายหัวคะมำแล้วใช้มือขวาหยิบมีดโต้ปลายตัดที่ถือติดตัวมาฟันไปทันที 1 ที ถูกผู้ตายตรงหูเป็นแผลยาวจากท้ายทอยผ่าหูมาจดแก้มด้านซ้าย ผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ เห็นว่าจำเลยฟันไปในขณะชุลมุนแย่งปืนกัน การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๑๒ เวลากลางวัน จำเลยใช้มีดโต้ปลายตัดฟันนายสำราญ หรือกล่อม ชุ่มเย็ม โดยเจตนาฆ่าถูกที่ศีรษะจนนายสำราญหรือกล่อมถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ตำบลปลักแรด อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ และริบมีดที่ใช้กระทำผิดของกลาง
จำเลยให้การรับว่าฟันผู้ตายจริงเพราะผู้ตายจะยิงจำเลยก่อน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ พิพากษายกฟ้องโจทก์ ของกลางคืนเจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นป้องกันพิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ จำคุก ๑๕ ปี ลดโทษตามมาตรา ๗๘ ให้หนึ่งในสาม คงเหลือจำคุก ๑๐ ปี ริบมีดของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยคดีนี้ โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานแลเห็นเหตุการณ์ในตอนที่จำเลยฟันผู้ตายเลย แต่ก่อนเกิดเหตุพยานโจทก์คือนายฉลองกับนายย่วนต่างเบิกความตรงกันว่าผู้ตายมีปืนพกอยู่ที่พุงและนายฉลองว่าผู้ตายมีอาการมึนเมามาก่อนแล้ว และเมื่อมาถึงผู้ตายขอเหล้ากินครึ่งขันต่อมาก็ขอเหล้าไปอีกค่อนขัน ศาลฎีกาเชื่อว่าผู้ตายซึ่งมีอาการมึนเมาอยู่บ้างแล้ว ได้พกปืนไปในวันเกิดเหตุด้วย มูลเหตุที่จะเกิดฟันกันขึ้นนี้น่าจะเกิดขึ้นภายหลังจากนายฉลองนายย่วนนายอินทร์กลับไปแล้วเพราะก่อนหน้านั้นพยานโจทก์เหล่านี้ก็มิได้เบิกความว่า จำเลยกับผู้ตายโต้เถียงกันเลย เหตุที่จะฟันผู้ตายนั้นจำเลยว่าเพราะจำเลยถามเรื่องกระพรวนควายที่หายที่ผู้ตายว่าจะไปสืบให้ ผู้ตายซึ่งกำลังมึนเมาอยู่แล้วโกรธจึงชักปืนออกมาจะยิง และจำเลยเข้าแย่งปืน ในตอนนี้จำเลยมีนายสำอางค์และนายบุญมาเป็นพยานเบิกความว่าแลเห็นตอนจำเลยและผู้ตายแย่งปืนกัน แล้วผู้ตายคะมำไป จำเลยจึงฟันด้วยมีดที่ติดตัวไปและปรากฏว่าจำเลยฟันไปเพียง ๑ ทีเท่านั้น เพราะบาดแผลที่ปรากฏก็เป็นเช่นนั้น และเมื่อจำเลยมาแจ้งแก่นายทองผู้ใหญ่บ้านก็แจ้งว่าได้ฟัน ๑ ทีเท่านั้น ที่ร้อยตำรวจเอกบัญชาจดปากคำชั้นสอบสวนว่าจำเลยฟันไป ๒ ทีนั้นไม่สอดคล้องตรงกับบาดแผล จึงไม่น่าเชื่อ เมื่อเป็นการฟันไป ๑ ครั้ง เช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าที่ฟันไปก็เพื่อมิให้ผู้ตายมาทำร้ายจำเลยเท่านั้น ถ้าจำเลยมีเจตนาจะฆ่าผู้ตาย ก็คงจะได้ฟันไปหลายทีเสียแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ว่าเมื่อจำเลยแย่งปืนมาได้แล้วภัยที่จะคุกคามย่อมหมดไป การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นป้องกันนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเบิกความว่าจำเลยฟันในขณะที่จำเลยคว้าปืนด้วยมือซ้ายแล้วเอามือขวาฟันไป จึงเป็นการฟันไปในขณะที่ชุลมุนแย่งปืนกัน และปืนของกลางพนักงานสอบสวนก็ว่าอยู่ในสภาพที่จะใช้ยิงได้ ทั้งเมื่อพิเคราะห์ถึงบาดแผลแล้วก็คงจะไม่เป็นการฟันด้านหลัง เพราะมิฉะนั้นแล้วบาดแผลคงจะมาจดแก้มด้านซ้ายไม่ได้ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อพยานโจทก์ไม่มีผู้ใดเห็นเหตุการณ์ แต่จำเลยมีพยานมาเบิกความในตอนที่ฟันดังกล่าวมาแล้วและกรณีมีเหตุผลน่าเชื่อพยานจำเลยด้วย เช่นนี้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวมาแล้ว เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ของกลางคืนเจ้าของ