คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2283/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ธนาคารท.เป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองที่ดินและบ้านพิพาทจึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้สามัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา702วรรคสองแม้โจทก์จะบังคับคดียึดที่ดินและบ้านพิพาทขายทอดตลาดธนาคารท.ก็ยังมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนโจทก์ส่วนโจทก์จะมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก็ต่อเมื่อมีเงินเหลือจากการชำระหนี้ของธนาคารท.ครบถ้วนแล้วดังนั้นการที่จำเลยที่1ขายที่ดินและบ้านพิพาทให้จำเลยที่2แล้วนำเงินชำระหนี้ธนาคารท.ซึ่งเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิก่อนจึงมิได้เป็นการฉ้อฉลทำให้โจทก์เสียเปรียบไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายสมศักดิ์ แกมขุนทด นายสมศักดิ์เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้ยืมโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกให้นำทรัพย์มรดกของนายสมศักดิ์ชำระหนี้แก่โจทก์ ในที่สุดได้ประนีประนอมยอมความกันศาลพิพากษาตามยอมแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญาโจทก์ขอบังคับคดีนำยึดทรัพย์มรดกของนายสมศักดิ์ ระหว่างนั้นจำเลยที่ 1 ได้นำบ้านและที่ดินอันเป็นมรดกของนายสมศักดิ์ไปขายให้จำเลยที่ 2 ในราคาต่ำกว่าความเป็นจริง เป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทราบดีว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์เสียเปรียบ และนายสมศักดิ์ไม่มีทรัพย์มรดกอื่นที่จะชำระหนี้โจทก์ได้ ขอให้พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายบ้านและที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1083 หากจำเลยทั้งสองไม่จัดการเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสมศักดิ์ บ้านและที่ดินตามฟ้องเป็นทรัพย์สินที่นายสมศักดิ์และจำเลยที่ 1 ทำมาหาได้ร่วมกันและนายสมศักดิ์ได้นำไปจำนองไว้แก่ธนาคารทหารไทย จำกัด สาขาเพชรบูรณ์ต่อมาธนาคารทหารไทย จำกัด สาขาเพชรบูรณ์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1และทายาทของนายสมศักดิ์เพื่อบังคับตามสัญญาจำนอง ศาลมีคำพิพากษาให้ชำระหนี้ จำเลยที่ 1 จึงขายบ้านและที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 โดยการแนะนำของเจ้าหน้าที่ธนาคาร แล้วนำเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่ธนาคารทหารไทย จำกัด สาขาเพชรบูรณ์โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตฟ้องจำเลยที่ 1 เนื่องจากโจทก์สามารถยึดบ้านพร้อมที่ดินออกขายทอดตลาดได้ก่อนที่จำเลยที่ 1 นำไปขายให้แก่จำเลยที่ 2 แต่โจทก์เพิกเฉยเพราะโจทก์ทราบว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างติดจำนองอยู่กับธนาคารทหารไทย จำกัดสาขาเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิและจะได้รับชำระก่อนโจทก์ การทำนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองมิได้เป็นการฉ้อฉลโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ได้ซื้อบ้านและที่ดินตามฟ้องโดยสุจริตในราคาท้องตลาดโดยการแนะนำของเจ้าหน้าที่ธนาคารทหารไทย จำกัด สาขาเพชรบูรณ์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1 เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสมศักดิ์ แกมขุนทด นายสมศักดิ์มีทรัพย์สินบ้านและที่ดินพิพาทได้นำไปจำนองธนาคารทหารไทย จำกัด สาขาเพชรบูรณ์ ไว้นอกจากนี้นายสมศักดิ์ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 50,000 บาทเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2534 นายสมศักดิ์ตาย จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายสมศักดิ์ วันที่ 3 ตุลาคม 2534 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมศักดิ์ชำระหนี้เงินกู้โจทก์จำเลยที่ 1 ตกลงประนีประนอมยอมความกัน ศาลมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว ตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 18/2535 ของศาลชั้นต้นคดีถึงที่สุดแล้ว วันที่ 9 มีนาคม 2536 โจทก์ยื่นคำร้องขอหมายบังคับคดี วันที่ 23 มกราคม 2535 ธนาคารทหารไทย จำกัด ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 กับทายาทของนายสมศักดิ์บังคับจำนอง ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันชำระเงินจำนวน 328,761.40 บาท หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินทรัพย์มรดกของนายสมศักดิ์ขายทอดตลาดชำระหนี้ ตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 229/2535 ของศาลชั้นต้น วันที่ 30 มีนาคม2536 จำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินและบ้านพิพาทให้จำเลยที่ 2 ในราคา385,000 บาท นำเงินชำระหนี้ให้แก่ธนาคารทหารไทย จำกัดมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดินและบ้านพิพาทให้จำเลยที่ 2 เป็นการฉ้อฉล ทำให้โจทก์เสียเปรียบหรือไม่เห็นว่า ธนาคารทหารไทย จำกัด เป็นผู้ดำเนินการให้จำเลยที่ 1ขายที่ดินและบ้านให้แก่จำเลยที่ 2 และมีการตัดหนี้ที่ค้างในส่วนที่ขาดประมาณ 50,000 บาท ทั้งธนาคารทหารไทย จำกัด เป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองที่ดินและบ้านพิพาท จึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้สามัญ ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 702 วรรคสองแม้โจทก์จะบังคับคดียึดที่ดินและบ้านพิพาทขายทอดตลาดธนาคารทหารไทย จำกัด ก็ยังมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก็ต่อเมื่อมีเงินเหลือจากการชำระหนี้ของธนาคารทหารไทย จำกัด ครบถ้วนแล้วและข้อเท็จจริงยังปรากฎว่า ธนาคารทหารไทย จำกัด ได้รับชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ต้องจำหน่ายหนี้สูญและตัดบัญชีตามเอกสารหมาย ล.8 เพราะธนาคารไม่สามารถหาผู้ซื้อได้ในราคาสูงกว่านี้ ทั้งโจทก์ก็เบิกความรับว่า จำเลยที่ 1 ได้เสนอขายที่ดินและบ้านพิพาทให้โจทก์ในราคา340,000 บาท แก่โจทก์ติดต่อหาผู้ซื้อไม่ได้ นอกจากนี้โจทก์ก็ไม่นำสืบให้เห็นว่า หากมีการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทจะได้ราคาสูงกว่าที่จำเลยที่ 1 ขายให้จำเลยที่ 2 และจะมีเงินเหลือชำระหนี้โจทก์ได้ อาศัยเหตุดังกล่าวมาจึงฟังได้ว่า การที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดินและบ้านพิพาทให้จำเลยที่ 2 แล้วนำเงินชำระหนี้ธนาคารทหารไทย จำกัดซึ่งเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิก่อน จึงมิได้เป็นการฉ้อฉลทำให้โจทก์เสียเปรียบ ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share