แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ย่อยาว
คดีนี้โจทย์ฟ้องกล่าวโทษจำเลยว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๑-๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๖๑ เวลากลางคือ จำเลยลอบวางเพลิงเผาเรือนของนายป้อมซึ่งให้นายโสอาศรัยอยู่นั้นไหม้ไป ๑ หลัง รวมสิ่งของที่เสียหายไปในเพลิงไหม้นั้นเปนราคาเงิน ๑๕๖ บาท เหตุเกิดที่ตำบลบ้านขมิ้น จังหวัดร้อยเอ็ดขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๑๘๕-๑๘๖ กับขอให้ใช้ค่าเสียหายแก่เจ้าทรัพย์ ฤาจำแทนราคาทรัพย์ด้วย ฯ
จำเลยให้การปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ แลคัดค้านว่าเรือนพลังนี้ไม่ใช่เปนเรือนของนายป้อม ๆ แกล้งนำเอาความเท็จไปแจ้งต่อขุนโชติ ฯ ปลัดอำเภอ ๆ กลับมอมเหล้าแลเสี้ยมสอนนายดำให้ซัดจำเลย ฯ
ศาลมณฑลร้อยเอ็จพิจารณาได้ความว่า เมื่อวันเกิดเหตุนายอำเภอแซงบาดาลได้ใช้ให้จำเลยกับนายดำไปตามกำนันบ้านเหล่า จำเลยกับนายดำออกจากอำเภอแล้วไปแวะที่บ้านหลวงโภคา จำเลยพูดบอกกับหลวงโภคาว่าจะปองร้ายนายป้อมสารวัดกำนัน ในเหตุที่นายป้อมแบ่งเงินค่าสินบนให้จำเลยน้อยไป จำเลยโกรธแค้นนายป้อม พอจำเลยลงจากเรือนหลวงโภคาไปแล้ว หลวงโภคาก็มาบอกกับนายป้อมว่าจำเลยจะคอยปองร้าย แลในคืนวันนั้นจำเลยชวนนายดำให้ไปเผาเรือนนายป้อมด้วยกัน แลมีนายสาพยานเดิรกลับจากเกี้ยวสาวมาพบจำเลยกับนายดำยืนอยู่ที่น่าบ้านนายป้อม พอนายสาเดิรเลยไปแล้วจำเลยก็หยิบเอามัดหญ้าคาแห้งมาจุดไฟในขญะนั้นนายดำห้ามจำเลย ๆ กลับเอามือวัดถูกน่าอกนายดำในขณะนั้นได้ยินเสียงสุนักข์เห่า นายโสลุกขึ้นมองดู เห็นจำเลยกำลังเอาไม้ขีดไฟจุดมัดหญ้าแห้ง พอเพลิงติดก็จุดชายคาเรือนรายนี้ แล้วจำเลยก็วิ่งหนีไป เพลิงกำลังไหม้เรือนนายป้อม นายโสพยานร้องโวยวายขึ้น นายพรมนายสังพยานวิ่งมาช่วย เห็นจำเลยวิ่งสวนทางไป ส่วนเรือนที่ถูกเพลิงไหม้นั้นเปนเรือนของนายป้อมให้นายโสอาศรัยอยู่ทรัพย์ที่เสียหายไปในเหตุที่เพลิงไหม้รายนี้เปนส่วนของนายป้อมราคา ๕๒ บาท เปนส่วนของนายโสราคา ๑๐๔ บาท ได้ความดังนี้ ศาลมณฑลพิพากษาว่าจำเลยมีผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๑๘๖ ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด ๔ ปี แลให้จำเลยใช้ทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์เปนเงิน ๑๕๖ บาทด้วย ถ้าไม่มีใช้ให้จำแทนอีก ๕ เดือน ๖ วัน ฯ
จำเลยอุทธรณ ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษเห็นว่าพยานโจทย์เบิกความเปนที่สงสัย พิพากษายกคำพิพากษาศาลเดิมแลยกฟ้องโจทย์ ปล่อยตัวจำเลยไป ฯ
โจทย์ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาคัดค้านต่อมา ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ประชุมปฤกษาเห็นว่า คดีนี้โจทย์มีคำหลวงโภคา นายป้อม นายโส นายจันทา นายพรม นายสัง นายสาเบิกความประกอบกันยืนยันสมเหตุผล ส่วนข้อที่ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษหยิบยกขึ้นเปนเหตุสงสัยไม่ฟังคำพยานโจทยเช่นกล่าวว่าถ้านายโสพยานเห็นในขณะจำเลยกำลังเผาเรือนแล้ว เหตุใดจึงไม่ร้องระบุชื่อจำเลยผู้กระทำผิดขึ้นในขณะนั้นแลไม่รีบจับกุมจำเลยเสียในคืนวันนั้นฤาวันรุ่งขึ้นก็ดี ข้อนี้ยังไม่ใช่เปนเหตุสำคัญ เพราะนายโสพยานให้การว่ากำลังมัวรีบดับเพลิงที่ไหม้เรือนนั้นอยู่ ถึงกระนั้นนายโสก็ยังได้ร้องโวยวายให้คนมาช่วย ส่วนการที่ไม่ได้จับกุมจำเลยในคืนวันนั้นฤาในวันรุ่งขึ้นก็ดี ข้อนี้ก็ได้ความว่านายโสได้ใช้ให้คนไปบอกนายอำเภอแลนายป้อมเจ้าของทรัพย์ให้มาจัดการ พอมาถึงนายโสพยานก็ได้ระบุบอกชื่อจำเลยซึ่งเปนคนที่วางเพลิง เมื่ออำเภอสอบสวนได้เค้าเงื่อนแล้วอำเภอก็ได้จัดการจับกุมจำเลยได้ในไม่ช้าวันนัก ไม่มีเหตุที่จะระแวงสงสัยไม่ฟังคำพยานโจทย์เหล่านี้ได้ แม้ถ้อยคำพยานบางคนจะให้การผิดเพี้ยนกันบ้างก็เปนแต่พลความเล็กน้อย ไม่มีเหตุที่จะไม่ฟังคำพยานโจทย์เหล่านี้ได้ จึงคงฟังว่าจำเลยได้วางเพลิงเผาทรัพย์รายนี้จริง ดังที่ศาลมณฑลพิพากษาวางบทลงโทษจำเลยมานั้นฎีกาโจทย์ฟังขึ้น เพราะฉนั้นจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษเสีย ให้ลงโทษจำเลยตามคำตัดสินศาลมณฑลร้อยเอ็จนั้น ฯ