คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2239/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ขับรถร่วมกันนำรถยนต์แท็กซี่คันเกิดเหตุมาขายให้ผู้เสียหาย โดยจำเลยที่ 2 อ้างว่าเป็น นาง ส.เจ้าของรถ และจำเลยที่ 1 เป็นผู้มอบเอกสารในการโอนรถยนต์ให้แก่ผู้เสียหาย เอกสารเหล่านั้นเป็นเอกสารปลอม จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอมและฐานฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น แต่การที่จำเลยร่วมกันนำเอกสารปลอมมาใช้ก็โดยมีเจตนาที่จะฉ้อโกงผู้เสียหายนั่นเอง การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมเอกสารใช้เอกสารปลอม และฉ้อโกงผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔,๒๖๕,๒๖๘,๓๔๑,๓๔๒ และคนหรือใช้เงินแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘,๓๔๑,๓๔๒,๘๓,๙๑ ฐานใช้เอกสารปลอมจำคุกคนละ ๑ ปี ฐานฉ้อโกงจำคุกคนละ ๑ ปี รวมจำคุกคนละ ๒ ปี
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะตัวจำเลยที่ ๑ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า เอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๕ เป็นเอกสารปลอมและวินิจฉัยว่าการที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้นำจำเลยที่ ๒ กับพวกเอารถมาขายแก่ผู้เสียหาย และจำเลยที่ ๒ แสดงตัวเป็นนางสุพินเจ้าของรถอันแท้จริง เมื่อตกลงซื้อขายกันแล้ว จำเลยที่ ๑ เป็นผู้มอบเอกสารหลักฐานหมาย จ.๑ ถึง จ.๕ ให้แก่ผู้เสียหาย และเป็นผู้นัดผู้เสียหายไปโอนรถ เมื่อผู้เสียหายไปคอยที่กองทะเบียนกรมตำรวจ ตามกำหนดนัดเพื่อรับโอนรถ จำเลยทั้งสองกับพวกก็ไม่ไปตามนัด การกระทำและพฤติการณ์ของจำเลยที่ ๑ ที่ร่วมกับจำเลยที่ ๒ มาตั้งแต่เริ่มต้นนำรถมาขายตลอดจนได้มอบเอกสารหลักฐานการโอนรถให้ผู้เสียหายดังกล่าว ฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้ร่วมสมคบกับจำเลยที่ ๒ กระทำความผิดโดยรู้อยู่แล้วว่าเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๕ เป็นเอกสารปลอม แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าความผิดฐานใช้เอกสารปลอมและฐานฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นเป็นความผิดสองกระทงและเรียงกระทงลงโทษจำเลยโดยศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไขในข้อนี้นั้น เห็นว่ายังคลาดเคลื่อนอยู่ เพราะการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันนำเอกสารปลอมหมายเลข จ.๑ ถึง จ.๕ มาใช้ก็โดยมีเจตนาที่จะฉ้อโกงผู้เสียหายนั่นเอง การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ทั้งเหตุดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี จึงให้มีผลถึงจำเลยที่ ๒ ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘,๓๔๑,๓๔๒ ให้ลงโทษบทหนักตามมาตรา ๒๖๘ ประกอบด้วย มาตรา ๒๖๕ จำคุกจำเลยคนละ ๒ ปี ให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้เงินจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท แก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share