คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2230/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามเป็นหนี้เงินต้นค่าสินค้าที่สั่งซื้อจากโจทก์พร้อมดอกเบี้ยและค่าบริการสินเชื่อ ค่าทวงถามหนี้และค่าดำเนินการอื่น ๆ คิดถึงวันฟ้อง จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้ว่าไม่เคยติดต่อค้าขาย มิได้เป็นหนี้ตามฟ้อง ไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์โดยจำเลยทั้งสามมิได้ให้การต่อสู้เลยว่าจำเลยทั้งสามได้ชำระหนี้ตามฟ้องให้แก่โจทก์แล้ว การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามเป็นหนี้ค่าท่อระบายน้ำของโจทก์พร้อมดอกเบี้ยนั้น เป็นการที่ศาลชั้นต้นได้ฟังข้อเท็จจริงโดยปริยายแล้วว่าจำเลยทั้งสามได้ซื้อสินค้าตามฟ้องไปจากโจทก์และค้างชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ดังนี้ ที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ว่าจำเลยทั้งสามได้ชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ซึ่งจำเลยทั้งสามไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบที่ศาลชั้นต้น ทั้งปัญหาดังกล่าวก็ไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อดังกล่าวของจำเลยทั้งสามนั้นจึงชอบแล้ว จำเลยทั้งสามได้ให้การไว้เพียงว่า โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้ส.ฟ้องคดีแทน หนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องเป็นเอกสารท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอม ส.ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ แต่จำเลยทั้งสามกลับอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่มีมูลหนี้ค่าซื้อขายท่อระบายน้ำต่อกันระหว่างโจทก์และจำเลย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 อีกเช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นางสมนึก ลูกรักษ์ ฟ้องคดีแทนจำเลยทั้งสามเป็นลูกหนี้ของโจทก์ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2530ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2532 จำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวและในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสินค้าประเภทท่อระบายน้ำคอนกรีต แผ่นทางเท้า และสินค้าอื่น ๆ จากโจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น4,883,263 บาท โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 สัญญากับโจทก์ว่าในแต่ละเดือนที่โจทก์ส่งสินค้าให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้วจะมีการคิดบัญชีกันในวันสิ้นเดือน และจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่มีการคิดบัญชีกัน หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดนัดยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และคิดค่าบริการสินเชื่อค่าทวงถามหนี้และค่าดำเนินการอื่น ๆ ในอัตราร้อยละ4 ต่อปี โจทก์ได้ส่งสินค้าให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 และคิดบัญชีกันรวมทั้งสิ้น 11 ครั้ง แต่เมื่อครบกำหนดเวลาที่จำเลยที่ 1 และที่ 2ต้องชำระเงินค่าสินค้าให้โจทก์ในแต่ละครั้งแล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2ผิดนัดไม่ชำระค่าสินค้าให้โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นหนี้เงินต้นค่าสินค้าโจทก์ทั้งสิ้น 4,883,263 บาท ต่อมาวันที่ 15มิถุนายน 2532 จำเลยที่ 3 ได้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 แทนจำเลยที่ 2ซึ่งได้ลาออกไป แต่เมื่อนับเวลาจากวันที่จำเลยที่ 2 ได้ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและหุ้นส่วนผู้จัดการจนถึงวันฟ้องยังไม่ครบกำหนดเวลา 2 ปี จำเลยที่ 2 จึงยังคงต้องรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 1 ซึ่งได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะได้ลาออกไปจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่มีต่อโจทก์ในฐานะเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1นอกจากนี้จำเลยทั้งสามยังมีหน้าที่ต้องชำระค่าบริการสินเชื่อค่าทวงถาม และค่าดำเนินการอื่น ๆ ให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 4 ต่อปีจากต้นเงินนับแต่วันที่ครบกำหนดชำระค่าสินค้าในแต่ละครั้งอีกด้วยต่อมาในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2532 จำเลยทั้งสามชำระเงินจำนวน700,000 บาท ให้แก่โจทก์ ซึ่งโจทก์ได้นำไปหักชำระหนี้ค่าบริการสินเชื่อ ค่าทวงถาม และค่าดำเนินการอื่น ๆ แล้วจำเลยทั้งสามจึงยังคงค้างชำระหนี้เงินต้นค่าสินค้าแก่โจทก์จำนวน 4,883,263 บาท และค้างชำระดอกเบี้ยจำนวน 776,551 บาท หลังจากนั้นจำเลยทั้งสามก็ไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์อีก จำเลยทั้งสามต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปีจากต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2532จนถึงวันฟ้องและต้องชำระค่าบริการสินเชื่อ ค่าทวงถามและค่าดำเนินการอื่น ๆ ในอัตราร้อยละ 4 ต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2532 จนถึงวันฟ้องให้แก่โจทก์ด้วยขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 6,994,349.55 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน4,883,263 บาทนับจากวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้นางสมนึก ลูกรักษ์ ฟ้องคดีแทน หนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอม นางสมนึกไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ จำเลยทั้งสามไม่เคยติดต่อค้าขายกับโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่เป็นหนี้โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์อ้าง เมื่อจำเลยที่ 3 เข้ามาเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 แทนจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วยจำเลยทั้งสามไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามจากโจทก์สินค้าต่าง ๆ ที่โจทก์ส่งมาให้จำเลยที่ 1 นั้นไม่ใช่เป็นการซื้อขายกันและโจทก์ก็ได้รับสินค้าต่าง ๆ คืนไปแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน5,349,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน4,883,263 บาท นับแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยเป็นข้อแรกตามที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 หรือไม่ ในปัญหานี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามเป็นหนี้เงินต้นค่าสินค้าที่สั่งซื้อจากโจทก์พร้อมดอกเบี้ยและค่าบริการสินเชื่อ ค่าทวงถามหนี้ และค่าดำเนินการอื่น ๆ คิดถึงวันฟ้องเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน6,994,349.55 บาท จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้ว่าจำเลยทั้งสามไม่เคยติดต่อค่าขายกับโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่เป็นหนี้โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์อ้างเมื่อจำเลยที่ 3 เข้ามาเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 แทนจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วย โดยจำเลยทั้งสามมิได้ให้การต่อสู้เลยว่าจำเลยทั้งสามได้ชำระหนี้ตามฟ้องให้แก่โจทก์แล้ว ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามเป็นหนี้ค่าท่อระบายน้ำของโจทก์เป็นเงิน 4,883,263 บาทพร้อมดอกเบี้ยนั้นเป็นการที่ศาลชั้นต้นได้ฟังข้อเท็จจริงโดยปริยายแล้วว่าจำเลยทั้งสามได้ซื้อสินค้าตามฟ้องไปจากโจทก์และค้างชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ ที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสามได้ชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ไม่มีหนี้ที่จำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดต่อโจทก์อีกต่อไปนั้น เป็นข้อที่จำเลยทั้งสามไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งปัญหาดังกล่าวก็ไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อดังกล่าวของจำเลยทั้งสามนั้นจึงชอบแล้ว
ส่วนที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามเกี่ยวกับอำนาจฟ้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นนั้นปรากฎว่าจำเลยทั้งสามได้ให้การต่อสู้ในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ไว้เพียงว่า โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้นางสมนึก ลูกรักษ์ ฟ้องคดีแทนหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอม นางสมนึกไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ แต่จำเลยทั้งสามกลับอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่มีมูลหนี้ค่าซื้อขายท่อระบายน้ำต่อกันระหว่างโจทก์และจำเลยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ที่ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยทั้งสามนั้น จึงชอบแล้วอีกเช่นกัน
พิพากษายืน

Share